Friday, July 26, 2024

ข่าวหนี้เสียมอเตอร์ไซด์ July 2024

 ข่าวหนี้เสียมอเตอร์ไซด์  July 2024

https://www.prachachat.net/finance/news-1614122


ในการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (ครม.) ครั้งล่าสุด มีการพูดถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนกันอย่างกว้างขวาง และให้โจทย์หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปทำรายละเอียดเพิ่มเติม


แก้หนี้ครัวเรือนเรื่องเร่งด่วน


โดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องสำคัญ โดยนอกจากหนี้บ้านแล้ว ก็ยังมีรถยนต์ แล้วก็มีสินค้าอุปโภคบริโภค... 

ดังนั้น การแก้ไขหนี้รถยนต์ก็อาจจะต้องมี ต้องใช้ความพยายาม และผู้ที่จะร่วมแก้ไข ก็ต้องเข้าใจสถานการณ์ เพื่อให้การแก้ไขลุล่วง ซึ่งหนี้เสียรถยนต์ที่น่าเป็นห่วง จะเป็นกลุ่มรถกระบะที่เริ่มเป็นมากขึ้น ซึ่งกลุ่มนี้ใช้รถในการทำมาหากิน


“การที่เราจะผลักดันประเทศให้เดินต่อ เราจะไม่ผลักดันที่ตัวคนไม่ได้ ประชาชนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด ต้องเร่งแก้ไข”


ห่วงหนี้เสียรถกระบะ-มอ’ไซค์

นายพิชัยกล่าวว่า จากข้อมูลที่หนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) หรือราว 10 ล้านล้านบาท พบว่า มีเป็นหนี้เสีย (NPL) อยู่กว่า 1 ล้านล้านบาท และหลายเดือนที่ผ่านมา มีสัญญาณว่าหนี้เสียจะเพิ่มขึ้น จากข้อมูลหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ (SM) ซึ่งหมายถึงหนี้ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น... 


“เมื่อผ่าเข้าไปดู พบว่า ครึ่งหนึ่งเป็นหนี้บ้านกับหนี้รถยนต์ ต่อมาคือหนี้บัตรเครดิต และหนี้การใช้จ่ายเพื่อบริโภค ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไปหารือในเรื่องของแก้ไขหนี้บ้านกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อช่วยให้ประชาชนหลุดพ้นหนี้และรักษาบ้านไว้ได้”


ทั้งนี้ นายกฯได้สั่งการให้พิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ยานยนต์ โดยเน้นในกลุ่มลูกหนี้ประเภทรถกระบะ และมอเตอร์ไซค์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชน โดยตอนนี้กำลังเร่งหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และบริษัทไฟแนนซ์ โดยแยกกลุ่มหนี้เสีย ที่ถูกยึดรถแล้ว และสินเชื่อใหม่ ซึ่งแนวทางแก้ปัญหาให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนำมารายงานในการประชุม ครม.เศรษฐกิจครั้งหน้า


เปิดตัวเลขหนี้เสียเพิ่มขึ้น

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สินเชื่อรถปิกอัพ ณ สิ้น พ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 2.7 ล้านบัญชี มูลหนี้ 9.9 แสนล้านบาท หดตัว -4.2% โดยเป็น NPL จำนวน 4.3 แสนบัญชี เพิ่มขึ้น 28.7% มูลหนี้ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.1% ส่วนที่เป็น SM อยู่ที่ 2.8 แสนบัญชี เพิ่มขึ้น 7.1% มูลหนี้ 1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3%


“ยอดสินเชื่อรถกระบะคิดเป็น 38.9% ของสินเชื่อรถยนต์ ส่วนยอด NPL คิดเป็นสัดส่วน 55.7% ของ NPL รถยนต์ และยอด SM คิดเป็น 54.9% ของ SM รถยนต์”


ส่วนสินเชื่อรถจักรยานยนต์ ณ สิ้น พ.ค. 2567 มีทั้งสิ้น 3.5 ล้านบัญชี มูลหนี้ 2.1 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% โดยเป็น NPL จำนวน 1 ล้านบัญชี หดตัว -2.4% มูลหนี้ 5.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% ส่วน SM มี 2 แสนบัญชี หดตัว -3.9% มูลหนี้ 1.1 หมื่นล้านบาท หดตัว -4.9%


ลีสซิ่งปรับโครงสร้างหนี้ต่อเนื่อง

นายมงคล เพียรพิทักษ์กิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที ลีสซิ่ง จำกัด และอุปนายกสมาคมธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธปท.ก็ได้เข้ามาหารือและพูดคุยถึงการช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มรถจักรยานยนต์ เนื่องจากมองว่า เป็นกลุ่มลูกค้าฐานราก ทั้งนี้ ประเมินแนวโน้ม NPL กลุ่มรถจักรยานยนต์ทั้งระบบน่าจะทรงตัวเฉลี่ย 5-8% ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละสถาบันการเงินในเรื่องการตัดหนี้สูญ (Write off) ว่าทำเร็วหรือช้าระดับใด


“บางค่ายหนี้เสียจะอยู่ที่ 3% หรือบางค่าย 5% เป็นต้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่า NPL ใหม่จะลดลง และ มีสัญญาณดีขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่ การแข่งขันที่ลดลง รวมถึงภายหลังจากสถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้า”


อย่างไรก็ดี บริษัทช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีโปรแกรมการปรับโครงสร้างหนี้ ที่ทำมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เช่น ลูกค้าผ่อนชำระไม่ไหว จะมีการลดค่างวดลง และปรับเทอมการชำระหนี้ออกไป ขึ้นอยู่กับความสามารถของลูกค้า


“เรามีการสื่อสารกับ ธปท.ต่อเนื่องในเรื่องของการช่วยเหลือลูกค้า ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะผู้ประกอบการเองก็ไม่อยากให้เป็นเอ็นพีแอล ดังนั้น คงไม่ได้เห็นการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยมาก หลังจากนี้ เนื่องจากเราทำเป็นปกติอยู่แล้ว”


แบงก์ยันช่วยลูกค้า-ไม่อยากยึดรถ

นายเตชินท์ ดุลยฤทธิรงค์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า แบงก์ได้ช่วยเหลือลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) อยู่แล้ว โดยลูกค้าที่ยังต้องการเก็บรถไว้ประกอบอาชีพสามารถพูดคุยในการปรับโครงสร้างหนี้ตามความสามารถในการผ่อนชำระ เช่น จากเดิมเคยผ่อนเดือนละ 10,000 บาท อาจจะปรับเหลือ 6,000-7,000 บาท


“สถาบันการเงินเอง ก็ไม่ต้องการยึดรถลูกค้าอยู่แล้ว นอกจากลูกค้ารายนั้นไม่ต้องการรถและไม่ต้องการปรับโครงสร้างหนี้”


สำหรับสถานการณ์ยอดขายรถกระบะในปี 2567 นี้ ยังคงชะลอตัว โดยในช่วง 5 เดือนแรกหดตัว -41% มียอดขายราว 75,903 คัน สะท้อนตามกำลังซื้อที่แผ่วลง เนื่องจากลูกค้ากลุ่มรถกระบะ จะเป็นกลุ่มเกษตรกร กลุ่มภาคผลิต และขนส่ง ซึ่งปัจจุบันรายได้เกษตรยังติดลบหรือค่อนข้างน้อย ส่วนภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากสินค้าจีน ที่เข้ามาแข่งขัน ทำให้กำลังการผลิตลดลง ดังนั้น จึงกระทบต่อกำลังซื้อรถกระบะชัดเจน


“ต้องยอมรับว่า แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มกระบะตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งทำให้ยอดขายลดลงราว 50% เพราะโดยปกติลูกค้ากลุ่มนี้จะชำระกระท่อนกระแท่นอยู่แล้ว ยอดรีเจ็กต์จึงสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป หรือหากรายได้ไม่ชัดเจน แบงก์ก็ไม่ปล่อย หรือปล่อย ก็ต้องมีเงินดาวน์ เฉลี่ย 20-25% ขึ้นกับราคารถ”


คงต้องติดตามว่า มาตรการที่รัฐบาลจะเคาะออกมาในการช่วยเหลือลูกหนี้รถกระบะ และรถจักรยานยนต์ จะเป็นเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ที่เข้มข้นขึ้น หรือมีอะไรมากกว่านั้น... 




Wednesday, July 24, 2024

SYMC (July 2024) from เพจ Superstarman

 SYMC (July 2024) from เพจ Superstarman

0️⃣.ธุรกิจ Data Center มี Value Chain ที่ครอบคลุมหลายส่วนในอุตสาหกรรม ในส่วนของต้นน้ำ เช่น

(1) ผู้ผลิตอุปกรณ์และชิ้นส่วน บริษัทที่ผลิตส่วนประกอบหลัก เช่น เซิร์ฟเวอร์, อุปกรณ์เก็บข้อมูล, ระบบระบายความร้อน, UPS และอุปกรณ์สนับสนุนอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับ Data Center

(2) ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม บริษัทที่ให้บริการสายไฟเบอร์ออปติกและโครงข่ายการเชื่อมต่อซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรับส่งข้อมูลเข้าออกจาก Data Center

ในส่วนของปลายน้ำเช่น

(3) ผู้ให้บริการ Cloud / Co-location หรือผู้ให้บริการบริการต่างๆ เช่น SaaS (Software as a Service)

โดย SYMC ก็คือผู้ให้บริการต้นน้ำในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน

1️⃣.บริษัท มีสายเคเบิลใยแก้วนำแสงเป็นระยะทางกว่า 25,400 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่สำคัญในประเทศไทย ดังนี้ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล / พื้นที่เศรษฐกิจหลักรวม 50 จังหวัด อาคารสำนักงานชั้นนำและนิคมอุตสาหกรรม และรวมถึงเคเบิ้ลใต้น้ำในการเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ (MCT ถือหุ้น 33%) เชื่อมต่อ 3 ประเทศ มาเลเซีย กัมพูชาและไทย ระยะทางรวม 1,300 กิโลเมตร

2️⃣.Over-the-Top (OTT) จะเป็นส่วนเร่งให้การเติบโตสูงขึ้นจากพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น บริการสตรีมมิ่งวิดีโอ Netflix, Amazon Prime Video, และ Disney+ หรือพวกบริการเกมออนไลน์ รวมถึงพวก Facebook Reels , TikTok โดย 2 ใน 3 ของปริมาณการใช้งานมาจาก OTT
.
*เทคโนโลยีสตรีมมิ่งวิดีโอที่ชัดขึ้น จาก FullHD (1080p) มาเป็น 2k (1440p ) จะใช้ข้อมูลเพิ่มขึ้นเยอะมากๆ

3️⃣.มีบริษัทแม่ในมาเลเซีย TIME dotcom (ผู้ประกอบการด้าน Infrastructure อันดับ 2 ในมาเลเซีย) ซึ่งถือหุ้นใน SYMC อยู่ที่ประมาณ 46.84% และพันธมิตรในสิงคโปร์ จะช่วยให้การเติบโตจากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นได้ดีเพราะแม่ป้อนงานให้ โดยที่ต้นทุนที่แม่เข้ามาซื้ออยู่เฉลี่ยๆ แถวๆ +/- 10.5 บาท

4️⃣.คู่เทียบ บริษัทที่ใกล้เคียง เช่น ALT และ ITEL และผู้เล่นในต่างประเทศเช่น , Telstra (ออสเตรเลีย) , TIME (Asean)
อื่นๆ เช่น , AT&T(อเมริกา) ,SingTel (สิงค์โปร์) , Vodafone (ยุโรป)

5️⃣.บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ ~33% แต่ก็มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากราคาขายต่อปริมาณการใช้ข้อมูลมีแนวโน้มลดลง (แต่ก็ได้ชดเชยจากปริมาณการใช้งานที่มากขึ้น) โดยที่กำไรขั้นต้นที่มาจากต่างประเทศนั้นมีสัดส่วนที่ใหญ่ขึ้นแต่ที่มีอัตรากำไรที่น้อยลง

6️⃣.Capex จะมีเพิ่มเติมบ้างในการลงทุน เช่นต้องลากสายไปเชื่อมกับลูกค้า รวมถึงการเปลี่ยนอุปกรณ์ให้ทันสมัย และมีค่าเสื่อมที่ถูกตั้งไว้ในสัดส่วนที่สูงหน่อย

7️⃣.ความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลง เช่น ดาวเทียม starlink ที่อาจมา disrupt ได้ (แต่ใยแก้วนำแสงคงอยู่ได้ไปอีกนาน + กับอุตสาหกรรมยังต้องการความเสถียรที่สูงอยู่)

8️⃣.ปัจจัยการขยาย Data Center ในไทย
(1) ทำเลที่ตั้ง ไทยเป็นศูนย์การในการวาง Data Center ได้ / รวมถึงภัยธรรมชาติต่ำ แผ่นดินไหว/น้ำท่วม(นานๆ ที)
(2) ระบบไฟฟ้าที่เสถียร และไฟฟ้าที่เป็น green มีให้ใช้
(3) ตลาดมีการขยายตัว เช่นผู้ใช้งาน facebook , tiktok ในไทยเยอะ รวมถึงการใช้พวก prompt-pay หรือธุรกรรมการเงิน
(4) มี BOI ให้ผู้ประกอบการ







Monday, July 8, 2024

Hmpro จากเพจ Money Lab (July 2024)

 Hmpro จากเพจ Money Lab (July 2024)

อธิบายธุรกิจ HMPRO กำไรโต แต่มูลค่าหาย 50% | MONEY LAB

เมื่อปี 2565 หลังจากการทยอยเปิดเมืองอย่างเต็มรูปแบบ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เคยมีมูลค่าบริษัทสูงถึง 228,000 ล้านบาท
ซึ่งเป็นระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาด

แต่มาวันนี้ มูลค่าบริษัทกลับเหลือเพียง 120,000 ล้านบาท หรือหายไปเกือบ 50%

ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัท ก็เติบโตจนทำสถิติสูงสุดได้

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ HMPRO จนทำให้มูลค่าของบริษัทหายไปมากขนาดนี้ ?

MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก เกี่ยวกับการก่อสร้าง ตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซม และปรับปรุงบ้าน
โดยมีอยู่ 2 แบรนด์หลัก ที่รองรับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
- HomePro รองรับกลุ่ม ลูกค้าเจ้าของบ้าน
- Mega Home รองรับกลุ่ม ลูกค้าช่างและผู้รับเหมา

สำหรับผลประกอบการของ HMPRO ในช่วงที่ผ่านมา

- ปี 2563 รายได้ 61,765 ล้านบาท กำไร 5,155 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 63,926 ล้านบาท กำไร 5,441 ล้านบาท
- ปี 2565 รายได้ 69,389 ล้านบาท กำไร 6,217 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้ 72,822 ล้านบาท กำไร 6,442 ล้านบาท
จะเห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมารายได้และกำไรของ HMPRO ยังเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ

และหากมองย้อนกลับไป 10 ปี จะพบว่า ในปี 2566 บริษัทสามารถทำรายได้และกำไร มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือ มูลค่าบริษัทกลับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับรายได้และกำไรที่เติบโตขึ้น
โดยในปี 2565 มูลค่าบริษัทเคยขึ้นไปสูงสุดถึง 228,000 ล้านบาท แต่ปัจจุบันมูลค่าบริษัทลดลงมาเหลือเพียง 120,000 ล้านบาท เท่านั้น
คิดเป็นการปรับตัวลดลงเกือบ 50% ภายในระยะเวลา
ไม่ถึง 2 ปี
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้มูลค่าบริษัทลดลงอย่างมาก ทั้ง ๆ ที่ผลการดำเนินงานของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง

หากลองเข้าไปดูในรายละเอียดจะพบว่า

1. การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมติดลบ

การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม หรือ Same Store Sale Growth โดยเรียกสั้น ๆ ว่า SSSG เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญ สำหรับธุรกิจค้าปลีกว่า แต่ละสาขา สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นหรือไม่
ถ้า SSSG เป็นบวก หมายความว่า ยอดขายของสาขาเดิมยังเติบโตได้
ถ้า SSSG เป็นลบ หมายความว่า ยอดขายของสาขาเดิมลดลง
ซึ่งเมื่อไปดู SSSG ของ HMPRO จะพบว่า
- ไตรมาส 3/2566 SSSG -3.6%
- ไตรมาส 4/2566 SSSG -8.5%
- ไตรมาส 1/2567 SSSG -2.0%
การเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิมติดลบ แสดงถึงการลดลงของยอดขายในสาขาเดิมอย่างต่อเนื่อง
สาเหตุก็น่าจะเกิดจาก กำลังซื้อที่ฟื้นตัวช้าตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ที่ยังคงชะลอตัวอยู่

2. การขยายสาขาของ HomePro ถึงจุดอิ่มตัว

การเติบโตของธุรกิจประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะเติบโตได้จากการขยายสาขา
ในช่วงที่ผ่านมา HomePro ได้เร่งขยายสาขา จนเกือบจะครอบคลุมกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักแล้ว
- จำนวนสาขา HomePro ในประเทศไทย
สิ้นปี 2565 มี 87 สาขา และสิ้นปี 2566 มี 89 สาขา
- HomePro S เป็นรูปแบบร้านขนาดเล็ก
สิ้นปี 2565 มี 5 สาขา และสิ้นปี 2566 มี 5 สาขา
- HomePro ในประเทศมาเลเซีย
สิ้นปี 2565 มี 7 สาขา และสิ้นปี 2566 มี 7 สาขา
จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า ในช่วงที่ผ่านมา HMPRO เปิดสาขาใหม่น้อยมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อศักยภาพการเติบโตของบริษัทในอนาคต
เพราะยอดขายของ HomePro ทั้งหมดทุกรูปแบบ คิดเป็นสัดส่วนถึง 81% ของยอดขายรวมในปี 2566

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้หันมาเน้นการขยายสาขาของ Mega Home มากขึ้นแทน
โดยจำนวนสาขาของ Mega Home
- ปี 2564 มี 14 สาขา
- ปี 2565 มี 18 สาขา
- ปี 2566 มี 27 สาขา
ซึ่งการเร่งขยายสาขา Mega Home เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การรักษาการเติบโต และกระจายความเสี่ยง โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างจาก HomePro มากขึ้น

พอสาขาเดิมขายของได้น้อยลง แต่จะขยายสาขาใหม่ก็ไม่ได้ง่าย โดยเฉพาะ HomePro ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก เพราะมีคู่แข่งเดิมเต็มไปหมด เราก็พอจะเห็นภาพแล้วว่า ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดมีมุมมองกับ HMPRO อย่างไรบ้าง

และหากดูราคาหุ้นของ HMPRO ในปัจจุบัน พบว่ามีการซื้อขายอยู่ที่ราคา 9.25 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วน P/E Ratio อยู่ที่ 18.59 เท่า
ความน่าสนใจอยู่ที่ว่า P/E Ratio ระดับนี้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเคยซื้อขายกันอยู่สูงถึง 31 เท่า

และเมื่อลองเปรียบเทียบกับบริษัทคู่แข่ง ก็จะพบว่า
HMPRO ณ สิ้นปี 2566
มีสาขา HomePro และ HomePro S รวม 101 สาขา
และ Maga Home มีสาขาทั้งหมด 27 สาขา
ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 18.59 เท่า

บมจ.สยามโกลบอลเฮ้าส์ หรือ GLOBAL
สิ้นปี 2566 มีสาขาทั้งหมด 84 สาขา
ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 31.03 เท่า

บมจ.ดูโฮม หรือ DOHOME
สิ้นปี 2566 มีสาขาทั้งหมด 35 สาขา
ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E 58.23 เท่า

จากข้อมูลเปรียบเทียบกันจะเห็นได้ชัดเจนว่า HMPRO
มี P/E ต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัด

ซึ่งหากมองว่า HMPRO เติบโตจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ราคาหุ้นที่ระดับราคานี้ ก็อาจจะดูสมเหตุสมผล สะท้อนถึงการเติบโตที่ชะลอตัวลงในอนาคต

แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากมองว่า HMPRO ยังมีโอกาสเติบโตได้อีก จากการขยายสาขาของ Maga Home และการขยายสาขาไปต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ระดับราคานี้ ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดี ในการลงทุนก็เป็นได้..





Monday, July 1, 2024

Set status as of July 01, 2024

 Set status as of July 01, 2024

SET Index = 1299  PE = 17.03  (Thai Government 10 year Bond = 2.78% as per   May  2024)
Yield Gap =   3.09%

 Billy B. =  BEAR

SET  1337   -->  1299  (-2.9%)