Wednesday, December 30, 2020

Year 2020 assessment

 Year 2020 assessment

Return = -14.6%
SET =  -8.2% add Dividend Yield 3% = Total -5.2%





Monday, December 28, 2020

Stock of the year 2020

 Stock of the year 2020

DELTA          1456% (at High 8xx)

SINGER          433%

AS                   380%

RCL                 305%

SFLEX            203%

ZIGA               183%

JMART             155%

SIS                     147%

SUN                  144%

THCOM            140%

ASIAN               140%

WICE                 137%

MBAX                130%

BOL                     126%

THRE                    103%

ALT                        102%

TQM                        98%


ตัวที่รู้จัก

JMT                          93%

KTC                         48%

SAWAD                    -6%

BFIT                         -8%

--------------------------------------------------------------------------

Case Study DELTA 

กำไร โต 100% แต่ราคาไปไกลมาก 





ขึ้นเยอะจนบริษัทออกจดหมายว่า ไม่มีพัฒนาการขนาดนั้น
ถูกทุบลง 8xx to 5xx  ภายในวันเดียวกัน (Dec 28 '2020)








Free Float น้อย และ ผถห ไม่น่าขาย เลยถูกเอามาปั่นทำ ดัชนี SET


Sunday, December 20, 2020

Baby Boomer VS Gen Y/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในช่วง 2-3 ปีมานี้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่รวดเร็วมากจนทำให้หลายคน “งง” ไปหมด นั่นคือการที่ “เด็ก” ที่มักจะไม่ได้มีบทบาทอะไรในสังคมไทย ออกมาเป็น “ผู้นำ” ในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร นักแสดง นักกีฬา ผู้ประกอบการในธุรกิจรุ่นใหม่บางอย่างที่ท้าทายและหลายครั้งเอาชนะคนรุ่นเก่าที่ “สูงอายุ” และมีบทบาทนำในสังคมมาช้านาน และสิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งที่สุดก็คือการที่ “เด็ก” ออกมาเป็นผู้นำในการประท้วงทางการเมืองระดับชาติจนหลายคนเกรงว่าจะ “เปลี่ยนประเทศ” ไปในทางที่เด็กต้องการแต่คนรุ่นเก่าเห็นว่าเป็นภัยใหญ่หลวงและต้องป้องกันทุกวิถีทางซึ่งอาจจะเกิดการปะทะกันและกระทบต่อการปกครองและสถานะของประเทศในสายตาของประชาคมโลก

ผมเองคิดว่าปรากฏการนี้ เราไม่ควรเรียกว่าเป็นเรื่องของ “เด็ก” เพราะที่จริงแล้วพวกเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วทั้งทางร่างกายและจิตใจ ส่วนใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้ว เพียงแต่พวกเขาอายุยังน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่นั่นก็อาจจะชดเชยได้ด้วยความรู้ที่ก้าวหน้าและแตกต่างจากคนรุ่นเก่าที่มักจะถูกจำกัดด้วยเทคโนโลยีและอำนาจของรัฐ พวกเขาไม่ใช่เด็ก แต่เป็นคนที่นักสังคมวิทยาเรียกว่าเป็นคน “Gen Y” ดังนั้น เราควรมาวิเคราะห์ดูว่าปรากฏการครั้งนี้ในที่สุดจะดำเนินต่อไปอย่างไร อนาคตของเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของไทยจะไปทางไหน แต่ก่อนอื่น เราจะต้องเข้าใจเรื่องและธรรมชาติของคนแต่ละกลุ่มหรือแต่ละเจนก่อน



Generation แรกก็คือ “Baby Boomer” นี่คือคนที่เกิดที่เกิดปี 1946-1964 หรืออายุตอนนี้ 56-74 ปี เป็นคนที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จำนวนคนในโลกเกิดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนี่คือโลกในยุคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันเช่นเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์เพิ่มขึ้นมาก เช่นเดียวกับการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ถนนหนทาง ไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นต้น ในทางการเมืองเองนั้น นี่คือยุคของ “สงครามเย็น” ที่มีการต่อสู้ทางความคิดระหว่างคอมมิวนิสต์กับทุนนิยมอย่างรุนแรง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างหนึ่งก็คือ มีการ “โฆษณาชวนเชื่อ” อย่างรุนแรงระดับ “ล้างสมอง” ของคนทั้งประเทศเพื่อที่จะเอาชนะคอมมิวนิสต์ ผลก็คือ ความคิดของคนที่เกิดในยุคนี้มีความคล้ายคลึงกันมากและมักจะเป็นคนที่มีความเป็น “อนุรักษ์นิยม” สูงมาก

ยุคที่สองก็คือคน Gen X นี่คือคนที่เกิดในปี 1965-1980 หรืออายุระหว่าง 40-55 ปีในวันนี้ นี่คือคนกลุ่มที่ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เมื่อตอนเป็นเด็กเพราะพ่อแม่ต่างก็ไปทำงานกันทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มีชีวิตอยู่ในครอบครัวที่เริ่มจะรวยและมักใช้ชีวิตสมดุลกว่าคนยุคเบบี้บูมที่ทำงานหนักกว่า คนเจนนี้มักจะมีความคิดเป็นอิสระ ไม่ค่อยยึดถือกรอบประเพณีแบบดั้งเดิม เป็นกลุ่มคนที่มีความคิดแบบผู้ประกอบการ แต่ถ้าจะพูดว่าคุณกลุ่มนี้มีแนวคิดที่เป็นจุดเด่นแบบไหนก็อาจจะบอกชัดเจนได้ยาก ดังนั้น พวกเขาจึงถูกตั้งชื่อว่าเป็น เจน “X” คือยุคที่ไม่รู้ว่าควรจะเป็นอย่างไร แต่มีความคิดที่แปลกและผิดเพี้ยนไปจากคนกลุ่มเบบี้บูม บางคนบอกว่าพวกเจน X มีแนวคิด “ปฏิวัติ” อย่างเช่นในอังกฤษที่คนรุ่นนี้มักไม่สนใจหรือมองสถาบันกษัตริย์ในมุมที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน เป็นต้น

ยุคที่สามคือคน Gen Y นี่คือคนที่เป็นลูกของคนยุคเบบี้บูมและพวกเจน X ตอนต้น พวกเขาเกิดในช่วงปี 1981-1996 ตอนนี้ก็อายุ 24-39 ปี นี่คือคนยุคแรกที่ใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ ใช้กูเกิลค้นหาข้อมูล และติดต่อสื่อสารด้วยสื่อสังคมสมัยใหม่ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็น “Digital Native” คือ “เกิดในโลกยุคดิจิตอล” ดังนั้น จึงคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเจอกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งซึ่งก่อให้เกิดการตกงานหรือประสบความยากลำบากจากภาวะเศรษฐกิจ เพราะเวลาเกิดปัญหา คนหนุ่มสาวมักจะไม่มีงานทำหรือตกงานมากกว่าคนที่สูงอายุกว่า อีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนคนยุคก่อนก็คือ คนเจน Y นั้น มักจะไม่สนใจทำงานกับสถาบันหรือบริษัทขนาดใหญ่และชอบที่จะทำงานเป็นอิสระอานิสงค์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอลที่ทำให้พวกเขาสามารถทำงานอิสระหรือทำธุรกิจเองได้ง่าย ในด้านของสังคมเองนั้น คนเจน Y มักจะมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง กล้ายืนยันในความคิดของตนเอง

ผมคงไม่พูดถึงคน Gen Z ที่มีอายุ 8-23 ปีในวันนี้ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ เพราะพวกที่โตพอถึงอายุ 18 ปีแล้วก็จะมีแนวความคิดคล้ายคน Gen Y ในขณะนี้ เพียงแต่จะแรงกว่าเนื่องจากเกิดมาก็เจอกับโลกของดิจิตอลที่สมบูรณ์แล้ว



ในประเทศไทยเองนั้น ตัวเลขประชากรบอกเราว่าในปัจจุบัน เรามีคนรุ่นเบบี้บูมประมาณ 11.8 ล้านคน โดยคนที่อายุน้อยที่สุดที่ 56 ปีมีประมาณ 9 แสนคน และคนอายุสูงที่สุดที่ 74 ปีมีประมาณ 3 แสนคน และคนทั้งหมดนี้ผมตั้งสมมุติฐานว่ายังคง Active และทำงานในระดับหนึ่ง ที่สำคัญยังมีบทบาทสูงมากในแทบทุกวงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางการเมืองและสิ่งที่เกี่ยวข้องและการเป็นผู้นำสูงสุดทางด้านธุรกิจจำนวนมาก

คนรุ่น เจน X นั้นเป็นรุ่นที่เด็กเกิดในแต่ละปีสูงสุดถึงปีละประมาณ 1 ล้านคน ทำให้มีคนที่เป็นเจน X ถึง 16.4 ล้านคน และในช่วงเวลานี้น่าจะเป็นคนที่มีรายได้สูงสุดและใช้จ่ายมากที่สุด อย่างไรก็ตาม บทบาทของคนเจน X ที่โดดเด่นกลับดูเหมือนว่าจะเป็นรองคนยุคเบบี้บูมอยู่มาก นอกจากนั้น ความคิดของคนเจน X เองก็ดูไม่ชัดเจนว่าพวกเขามีแนวคิดแบบไหน ดูเหมือนว่าน่าจะผสมผสานระหว่างการเป็นเสรีนิยมกับอนุรักษ์นิยม อานิสงค์สำคัญจากการที่สงครามเย็นสงบลงและแนวคิดแบบเสรีนิยมและกระแสของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก

คนเจน Y ที่เกิดในแต่ละปีนั้น ยังมีจำนวนสูงเกือบ 1 ล้านคนน้อยกว่าเจน X เล็กน้อย ดังนั้น พวกเขาก็มีจำนวนพอ ๆ กับเจน X คือประมาณ 15.2 ล้านคน อย่างไรก็ตาม คนเจน Z ตอนต้น คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 18 จนถึง 23 ปี นั้น ผมคิดว่าพวกเขาก็มีแนวความคิดและความเชื่อคล้ายกับคนเจน Y มาก อานิสงค์จากอิทธิพลของอินเตอร์เน็ตและสื่อสังคมรุ่นใหม่ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้โลกอย่างเสรีอย่างเต็มที่ โดยที่คนในกลุ่มนี้มีรวมกันประมาณ 5.3 ล้านคน เมื่อรวมกับคนเจน Y ก็ทำให้คนกลุ่มนี้มีเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 20.5 ล้านคน กลายเป็นกลุ่มคนขนาดใหญ่ที่สุดและมากกว่ากลุ่มเบบี้บูมกว่า 73% และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คนเจน Y มีบทบาทที่เติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงเร็ว ๆ นี้



ถ้าเรามองไปข้างหน้าและตั้งสมมุติฐานว่าคนในแต่ละเจนนั้น มีมุมมองและความคิดแบบเดิมตามที่เป็นอยู่ในขณะนี้ แล้วปล่อยให้เวลาเดินไปอะไรจะเกิดขึ้น?

ในเวลาอีก 2 ปีข้างหน้าประเทศไทยก็น่าจะมีการเลือกตั้งซึ่งจะบ่งชี้ว่ารัฐบาลจะมีแนวโน้มไปทางไหนถ้าสมมุติว่าผู้ชนะการเลือกตั้งสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามเสียงของผู้แทนราษฎร เราก็จะพบว่าจำนวนของเบบี้บูมก็จะเหลือเพียง 11.1 ล้านคนเพราะคนรุ่นเบบี้บูมจะ “หายไป” เนื่องจากการตายหรือหมดความสามารถหรือไม่อยากที่จะไปเลือกตั้งแล้วประมาณ 6.5 แสนคน ในทางตรงกันข้าม คนเจน Y และ Z ที่มีอายุครบ 18 ปีขึ้นไป กลับมีมากขึ้นอีก 1.6 ล้านคนทำให้มีจำนวนคนที่มีสิทธิเลือกตั้งถึง 22.1 ล้านคน หรือประมาณ 2 เท่าของกลุ่มเบบี้บูม ซึ่งถ้าผู้แทนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็จะทำให้ประเทศเปลี่ยนแปลงไปตามแนวคิดของเจน Y เร็วขึ้น

มองไปข้างหน้าที่ไกลไปกว่านั้น ในอีก 5 ปีข้างหน้า คนรุ่นเบบี้บูมที่ยังมีกำลังวังชาพอที่จะมีบทบาทในด้านต่าง ๆ ก็จะลดลงไปประมาณ 2.4 ล้านคนเหลือแค่ 9.4 ล้านคน ในขณะที่คนเจน Y และ Z ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในวันนี้จะเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 4 ล้านคนกลายเป็น 24.5 ล้านคน บทบาทในทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของคนเจน Y+Z กลุ่มนี้ จะสูงกว่าคนรุ่นเบบี้บูมอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

แต่ถ้าบอกว่าอนาคตระยะยาวของประเทศไทยอีก 10 ปีข้างหน้าล่ะ ประเทศไทยจะมีหน้าตาอย่างไร? คนรุ่นเบบี้บูมในวันนี้จะลดลงไปถึง 5 ล้านคนหรือเกือบครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 6.8 ล้านคน ในทางตรงกันข้าม คนเจน Y+Zที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในวันนี้จะมีคนเพิ่มขึ้นถึง 7.9 ล้านคน ทำให้คนกลุ่มนี้มีมากถึง 28.4 ล้านคน หรือเป็น 4 เท่าของคนรุ่นเบบี้บูม ถึงวันนั้น อิทธิพล แนวความคิดและ “วัฒนธรรม” ที่เป็นของคนรุ่นเบบี้บูมในวันนี้ที่อยู่กับสังคมไทยมานานหลายสิบปีก็คงจะหมดไปถ้าเราตั้งสมมุติฐานว่าคนรุ่นเจน X นั้นไม่ได้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากการที่เป็นเจนที่มีจุดยืนกลาง ๆ ที่ไม่ “ซ้ายหรือขวา” คือไม่ติดยึดอะไรมากและพร้อมที่จะปรับตัวไปกับกระแสใหม่ ๆ ของไทยและโลก 

ความรู้สึกลึก ๆ ของผมก็คือ ภายใน 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนไปแบบจำแทบไม่ได้

Tuesday, December 1, 2020

Set status as of Dec 01, 2020

 Set status as of Dec 01, 2020

SET Index = 1420  PE = 28.11  (Thai Government 10 year Bond = 1.40% as per  Oct2020)
Yield Gap =   2.16%

 Billy B. =   BEAR** รอเส้น 50 ทะลุ 200 จะกลายเป็น BULL ทันที






Stock Monthly Winner
 
SET 1202 --> 1420 (+18%)  หุ้นบวกเยอะมาก ๆ ๆ ๆ เลือกมาบางตัว

กลุ่ม SAWAD วิ่งจากดีลออมสิน
SAWAD          21%
BFIT             12%

RCL               62%
MINT             49%
AH                47%
AMATA           41%
BH                 39%
WORK            38%
MAJOR           38%

AEONTS          38%
KTC                36%

JAS                  29%
BEAUTY            28%

 


กลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี
TOP               45%
IRPC              42%
IVL                41%
PTTGC           41%
ZIGA              40%
SPRC              36%
BCP                32%
BPCG              28%
PTT                 28%
PTTEP             23%



กลุ่ม Bank
SCB                 36%
BBL                 29%
KTB                 28%




Wednesday, November 25, 2020

BFIT as of End Nov2020

 BFIT as of End Nov2020

Bad

  - Loan Port ลดลงต่อเนื่อง from 18000 to 13000 MB 

(จากการปรับ port  เอาไป re-contact ปล่อยที่ FM or S2014 ??) 

  - เดิม port 18000 มี Land 7000 , Car 11000 แต่ Car ไม่รู้สัดส่วน high vs low yield

  - กำไรรายเดือน Oct'20 เหลือแค่ 93 MB

 

Wait

- การแบ่ง port ที่ชัดเจน หลังจาก sawad ประกาศ 2 big deals  คาดการณ์ดังนี้

         - S2014 (sawad hold 99%) ทะเบียนรถ ดอกเบี้ย max 24% 

         - FM (sawad hold 51%) ทะเบียนรถ ดอกเบี้ย max 18%

         - BFIT (sawad hold 82%) Land & Car ดอกเบี้ย max 36%


- New ประธานกรรมการ with Good Public information

- การ Funding (BFIT มี rate BBB+) หลังจากใช้หนี้ sawad จนหมด (เหลือแค่ 500 MB) 

- BFIT มีเงิน 4000 MB อยู่รายการระหว่าง banking จะใช้ยังไง ??  






Tuesday, November 10, 2020

ETF (Exchange Trade Fund)

 ETF (Exchange Trade Fund)

mail from Jitta

ทราบไหมครับว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 บริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ย่องเข้าซื้อกองทุน ETF อย่าง Vanguard S&P 500 ETF (VOO) เเละ SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) แบบเงียบๆ รวมมูลค่า $25 ล้าน

นับเป็นครั้งแรกที่ Berkshire ลงมาเล่นตลาด ETF!

จู่ๆ ทำไมบริษัท Berkshire Hathaway ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ถึงมาซื้อกองทุน ETF ทั้งๆ ที่ปู่เคยบอกว่า การเอาเงินไปลงกองทุนแบบ ETF “อาจจะเป็นการจำกัดโอกาสการลงทุนของ Berkshire ก็ได้

ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กองทุน ETF คืออะไร และมีจุดเด่นอย่างไรบ้าง

กองทุน ETF คืออะไร

ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบเเทนใกล้เคียงการเคลื่อนไหวของดัชนีที่อ้างอิงมากที่สุด และสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดได้เหมือนหุ้น

พูดง่ายๆ ก็คือ กองทุน ETF นั้น ก็เหมือนลูกผสมระหว่างกองทุนรวมดัชนีกับหุ้นนั่นเอง

ซึ่งความนิยมของกองทุนดัชนีแบบ passive มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เงินลงทุนไหลออกจากกองทุนแบบ active ถึง $1.85 แสนล้าน และไหลเข้ากองทุนแบบ passive ถึง $3.8 ล้านล้าน

จากที่เคยครองสัดส่วนตลาดอยู่ถึง 78.3% ตอนนี้กองทุนที่บริหารจัดการแบบ active กินส่วนแบ่งตลาดเพียง 59% หากแนวโน้มยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นาน กองทุน passive ก็จะขึ้นมาครองโลกแน่นอน

เพราะกองทุนรวมดัชนีนั้น พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่งอกเงยในระยะยาวได้ โดยมีค่าธรรมเนียมต่ำ และกระจายความเสี่ยงให้อยู่แล้ว

จุดเด่นของกองทุน ETF

อย่างไรก็ตาม กองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ก็ถือกำเนิดขึ้นในปี 2536 เป็นกองทุน ETF กองแรก ที่ออกมาแล้วดังเป็นพลุแตก และยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนการซื้อขายสูงเป็นอันดับต้นๆ และเป็นกองทุนเดียวกับที่ Berkshire Hathaway เพิ่งซื้อไป

ปรากฏว่ากองทุน ETF กระแสตอบรับดียิ่งกว่ากองทุนรวมดัชนีเสียอีก เพราะซื้อขายสะดวกสบายมาก คุณเห็นราคาหุ้นอัปเดตแบบทันที และสามารถเข้าซื้อขายผ่านตลาดหุ้นได้เลย ไม่ต้องรออัปเดตราคาตอนสิ้นวัน

ต่างจากกองทุนรวมดัชนี ที่คุณกำหนดราคาหรือเวลาที่จะซื้อไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เมื่อคุณซื้อกองทุนรวม ผู้จัดการกองทุนไม่ได้นำเงินคุณไปลงทุนโดยทันที แต่จะต้องรอสิ้นวันตอนตลาดใกล้ปิด ราคาที่คุณซื้อก็จะเป็นราคาเดียวกับคนอื่นๆ ที่ซื้อกองทุนในวันเดียวกัน แม้คุณจะกะจังหวะซื้อตอนราคาตกก็ตาม

นอกจากนี้ กองทุน ETF ยังมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมดัชนี ทำให้เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างกองทุนรวมดัชนีที่อ้างอิง S&P 500 และกองทุน ETF ที่อ้างอิง S&P 500 คุณจะเห็นได้ชัดเจนว่ากองทุน ETF ทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงดัชนีตลาดมากกว่า

ปัจจุบัน มีกองทุน ETF ทั่วโลกเกือบ 7,000 กองทุน และไม่ได้อ้างอิงแค่ดัชนีตลาดหุ้นเท่านั้น แต่ยังอ้างอิงดัชนีอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดัชนีพันธบัตรรัฐบาล ดัชนีหุ้นกู้ ดัชนีทองคำ และดัชนีน้ำมัน เป็นต้น

เป็นตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลาย เลือกได้ตามที่คุณต้องการ ทั้งยังซื้อขายสะดวก ค่าธรรมเนียมต่ำ และมาพร้อมการกระจายความเสี่ยงในตัว ช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณสร้างผลตอบแทนดีตามการเติบโตของตลาด แม้จะไม่ได้เป็นกูรูด้านการลงทุนก็ตาม

หากคุณสนใจกระจายความเสี่ยง ลงทุนต่างประเทศผ่านกองทุน ETF ผมขอเสนอบริการใหม่จาก Jitta Wealth

Global ETF ที่ลงทุนใน ETF สินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หุ้นกู้เกรดดี และพันธบัตรรัฐบาล พร้อมจัดพอร์ตและปรับพอร์ตอัตโนมัติตามทฤษฎีรางวัลโนเบล เริ่มต้นเพียง 100,000 บาท


Tuesday, November 3, 2020

วิกฤติเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ต่างกับ วิกฤติปี 40 อย่างไรบ้าง? / โดย ลงทุนแมน

 วิกฤติเศรษฐกิจไทยตอนนี้ ต่างกับ วิกฤติปี 40 อย่างไรบ้าง? / โดย ลงทุนแมน

ในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทย เจอกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่มาแล้ว 2 ครั้ง
ครั้งแรก คือ วิกฤติต้มยํากุ้งในปี พ.ศ. 2540
และครั้งที่ 2 ก็คือ วิกฤติเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด 19 ที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
สำหรับเหตุการณ์วิกฤติซับไพรม์ที่เกิดขึ้นในประเทศฝั่งสหรัฐอเมริกาและยุโรป ในปี พ.ศ. 2551 ในตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบมาก เท่า 2 วิกฤตินี้
แน่นอนว่า สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 2 วิกฤตินี้
คือส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยตกต่ำอย่างหนัก
แล้วความแตกต่างกันของทั้ง 2 วิกฤตินี้ คืออะไร?
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟัง

เริ่มต้นที่วิกฤติต้มยํากุ้งในปี พ.ศ. 2540

รู้ไหมว่า ก่อนหน้าที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นนั้น
ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงยุคทองของการลงทุนเลยทีเดียว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ประเด็นแรก คือ การเกิดขึ้นของโครงการ Eastern Seaboard ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งเป็นไปตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525-2529)
รัฐบาลในขณะนั้นต้องการเปลี่ยนอุตสาหกรรมเบาในภาคตะวันออก ให้มาเป็นอุตสาหกรรมหนัก และอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศในระยะยาว
ประเด็นต่อมา คือ หลังจากการที่ญี่ปุ่นทำข้อตกลง “Plaza Accord” กับสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2528 ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงนั้น คือญี่ปุ่นต้องยอมให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งการที่เงินเยนแข็งค่ากระทบกับภาคการส่งออกของญี่ปุ่นอย่างมาก
เมื่อเป็นแบบนี้ บริษัทญี่ปุ่นจำนวนมากจึงต้องมองหาประเทศมีค่าต้นทุนแรงงานต่ำ เพื่อตั้งโรงงานการผลิตซึ่งจะช่วยให้สินค้าของญี่ปุ่นนั้นสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้
และประเทศไทยก็คือคำตอบนั้น..
บริษัทญี่ปุ่นเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในไทย พร้อมด้วยเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้การจ้างงานและการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในตอนนั้น
ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยที่ว่ามานี้ เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จนทำให้ในระหว่างปี พ.ศ. 2525-2539 เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยถึงปีละ 8%
ทำให้ประเทศไทยในตอนนั้น ได้รับการขนานนามว่าจะเป็น “เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย” ต่อจาก 4 เสือเดิมคือ ฮ่องกง, เกาหลีใต้, สิงคโปร์ และไต้หวัน
เศรษฐกิจไทยที่โตระเบิดขณะนั้น ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เนื้อหอม
นักลงทุนจำนวนมากจากต่างประเทศ ต้องการปล่อยกู้ให้ทั้งรัฐบาลไทย และบริษัทเอกชนต่างๆ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของรัฐบาลไทยและบริษัทเอกชนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
รัฐบาลไทยในขณะนั้น ต้องการทำให้ประเทศเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาค
จึงได้มีการจัดตั้ง กิจการวิเทศธนกิจ (BIBF) ขึ้นในปี พ.ศ. 2536 เพื่อทำหน้าที่กู้ยืมเงินจากต่างประเทศแล้วนำมาปล่อยกู้ต่อทั้งในและนอกประเทศไทย และอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งสามารถจัดตั้งกิจการวิเทศธนกิจได้เช่นกัน
ฝั่งภาคเอกชนเองก็มีการกู้เงินจากต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อมาขยายธุรกิจและมาลงทุนขยายกิจการ
ซึ่งในเวลานั้นไม่ค่อยมีใครกังวลเรื่องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
เพราะเหตุผลสำคัญคือ ในตอนนั้นประเทศไทย ใช้อัตราแลกเปลี่ยนแบบ “คงที่”
หมายความว่า ไม่ว่าจะกู้เงินจากต่างประเทศเท่าไร ค่าเงินบาทต่อสกุลเงินต่างประเทศก็จะไม่เพิ่มค่า หรือลดค่าลงแม้แต่น้อย
เมื่อรวมกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากต่างประเทศที่ถูกกว่าในประเทศเกือบเท่าตัว สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นสิ่งจูงใจ ให้ภาครัฐและเอกชนไทยกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ไปใช้จ่ายเกินตัว อย่างเช่น กู้เพื่อนำเงินไปเก็งกำไรในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์
ราคาสินทรัพย์ ดัชนีหุ้นไทย เริ่มขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น “ฟองสบู่”
แล้วสัญญาณเลวร้ายก็เริ่มเผยให้ได้เห็น..
ช่วงปี พ.ศ. 2540 การส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัวลง
ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเริ่มขาดดุลมากขึ้น
เจ้าหนี้เริ่มต้องการเงินกู้คืน
เงินทุนทยอยไหลออกจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำเงินสำรองระหว่างประเทศมาซื้อเงินบาท เพื่อพยุงค่าเงินบาทเอาไว้ จนเงินสำรองระหว่างประเทศเริ่มลดน้อยลงทุกที
จนธนาคารแห่งประเทศไทยช่วยพยุงไม่ไหว
สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว
ซึ่งทำให้จากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าลงต่ำสุดถึง 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
การอ่อนค่าของเงินบาท ทำให้รัฐบาล บริษัทไทย และคนที่ไปกู้เงินจากต่างประเทศบางส่วนถึงขนาดล้มละลาย
ซึ่งถ้าเรามองให้ลึกลงไปจะพบว่า วิกฤติในครั้งนั้นเกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่และนักธุรกิจที่ร่ำรวย มากกว่าจะเกิดกับบริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือชาวบ้านธรรมดา เนื่องจากกลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม หลังวิกฤติครั้งนั้นเกิดขึ้น
การอ่อนค่าของเงินบาท ก็ทำให้ภาคการส่งออกของไทยกลับมาเติบโต
GDP ภาคการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก 1.4 ล้านล้านบาทในปี พ.ศ. 2539 มาเป็น 2.8 ล้านล้านบาท ในปี พ.ศ. 2543 หรือเติบโตกว่าเท่าตัวในระยะเวลาเพียงแค่ 4 ปี
การอ่อนค่าของเงินบาทยังช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2539 เท่ากับ 7.2 ล้านคน เพิ่มขึ้นจนมากกว่า 10 ล้านคนในปี พ.ศ. 2544 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นถูกลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
อีกด้านหนึ่งหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศในขณะนั้นอยู่ในระดับเพียง 50% ทำให้ประชาชนยังมีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้เร็ว
แม้ว่าวิกฤติในครั้งนั้นทำให้ GDP ของไทยติดลบไปถึง 7.6% ในปี พ.ศ. 2541 แต่ก็เริ่มกลับมาเป็นบวกได้อีกอย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี เท่านั้น



คราวนี้ มาดูที่วิกฤติเศรษฐกิจในปัจจุบันกันบ้าง

จากการระบาดของโควิด 19 ที่เริ่มรุนแรงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา
แม้ประเทศไทยจะไม่ได้เป็นจุดศูนย์กลางของวิกฤติเหมือนครั้งก่อน
แต่วิกฤติที่เกิดครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวมาหลายปีแล้ว
ซึ่งต่างจากช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมาอย่างยาวนาน
และดูเหมือนว่า ในครั้งนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ได้ขยายวงกว้างออกไปกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง
ทั้งบริษัทขนาดเล็ก ธุรกิจ SMEs และประชาชนคนทั่วไป ได้รับผลกระทบกันเกือบทุกคน จากการที่รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ เช่น เว้นระยะห่างทางสังคม การล็อกดาวน์ในบางช่วงบางพื้นที่ และการปิดประเทศ
การระบาดของโควิด 19 ยังส่งผลกระทบกับหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งบางแห่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย
และที่สำคัญคือ การท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมานานหลายปี ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการไม่เดินทางมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ในปี พ.ศ. 2562 ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย มีมูลค่ารวมกันกว่า 10.6 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า 2 ใน 3 ของ GDP ประเทศไทย โดยในปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยกว่า 39 ล้านคน คิดเป็นกว่า 5 เท่าเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2540
เมื่อทั้ง 2 เครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต้องหยุดชะงัก แน่นอนว่าเศรษฐกิจไทยก็ตกต่ำลงไปอย่างหนักด้วย
และการตกต่ำของเศรษฐกิจในรอบนี้ ตามมาด้วยปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP ของประเทศ ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 80%
ซึ่งถ้าเทียบกับช่วงที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่สัดส่วนนี้ อยู่ที่เพียง 50% ก็ถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของภาคครัวเรือนในการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้เร็ว
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ประชากรไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างต่อเนื่อง
โดยอายุเฉลี่ยของประชากรไทยในวันนี้เท่ากับ 40 ปี
ขณะที่ตัวเลขดังกล่าวเมื่อครั้งที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งเท่ากับ 27 ปี เท่านั้น
อายุเฉลี่ยของประชากรไทยที่เพิ่มขึ้น ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้การบริโภคและการลงทุนลดลงจากเดิม ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้า
สรุปแล้ว ถามว่าวิกฤติเศรษฐกิจในตอนนี้ แตกต่างกับเมื่อปี 40 อย่างไร
ก็ต้องบอกว่า ในแง่ของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังจากวิกฤติในครั้งนี้ อาจมีความยาก และเป็นเรื่องท้าทายมากกว่าวิกฤติในปี 40
วันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า ประเทศไทยจะสามารถกลับไปส่งออกได้เหมือนเดิมเมื่อไร
วันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ จะกลับมาได้อีกครั้งตอนไหน
คำถามที่สำคัญก็คือ
เราจะร่วมมือกันวางแผน และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร
เพื่อให้ทุกคน และประเทศไทย ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้..

Monday, November 2, 2020

Set status as of Nov 02, 2020

 Set status as of Nov 02, 2020

SET Index = 1202  PE = 20.80  (Thai Government 10 year Bond = 1.42% as per  Sep2020)
Yield Gap =   3.39%

 Billy B. =   BEAR




Stock Monthly Winner
 
SET 1247 --> 1202 (-3.7%)
 
THRE             54%

PR9              30%


กลุ่มยาง
NER              49% (Warrant โหดกว่านี้มาก)
STA               28%
TRUBB          26%

BOL                25%
APRUE            25%

กลุ่ม Electronics
SVI                    27%
DELTA                21%
SIS                    21%




Wednesday, October 7, 2020

Saturday, October 3, 2020

Thai Non-Voting Depository Receipt : ThaiNVDR

 ไขข้อสงสัย “ไทยเอ็นวีดีอาร์” คือใคร…ทำไม “ถือหุ้นใหญ่” บริษัทในตลาดหุ้นไทย?




บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด” คือใคร?

ไทยเอ็นวีดีอาร์ เป็นคำย่อจากภาษาอังกฤษว่า Thai Non-Voting Depository Receipt : ThaiNVDR หรือ ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงของไทย

อธิบายง่ายๆ ว่า “บริษัทนี้มีหน้าที่เดียวคือการออกใบแสดงสิทธิของหุ้นตัวนั้น” เช่น หากเราซื้อ NVDR ของหุ้นตัวหนึ่ง ก็จะมีสิทธิได้รับผลประโยชน์จากหุ้นตัวที่ซื้อไปเหมือนกับการ “ซื้อหุ้นทั่วไป” ใน SET ไม่ว่าจะเป็น ได้รับเงินปันผล กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) สิทธิในการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน

เเต่สิ่งที่เเตกต่างของสิทธิ NVDR กับสิทธิของผู้ถือหุ้นทั่วไปคือ ผู้ถือ NVDR จะ “ไม่มีสิทธิ” ในการออกเสียงโหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (ตามความหมายตรงๆ ของ Non-Voting )

โหวตไม่ได้…จะลงทุนผ่าน NVDR ทำไมกัน? 

ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของ บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด” ก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2543 มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งสิ้น 10 ล้านบาท โดยมีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถือหุ้นร้อยละ 99.99 ของทุนจดทะเบียน

ช่วงนั้นเป็นภาวะหลังวิกฤตเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงตั้งไทยเอ็นวีดีอาร์ขึ้นมาเพื่อกระตุ้นการลงทุนเเละเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย โดยการซื้อ-ขาย NVDR ทำได้เหมือนหุ้นทั่วไป คือซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ และซื้อที่ราคาเท่ากับราคาตลาด “ซื้อเป็น NVDR ขายก็เป็น NVDR”

โดยกลุ่มเป้าหมายเป็น “นักลงทุนต่างชาติ” เป็นหลัก เพราะคนต่างชาติติดปัญหาไม่สามารถถือหุ้นเกินเกณฑ์ที่กำหนด เเละถ้าชาวต่างชาติซื้อขายบนกระดานทั่วไป (Local Share) จะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล ดังนั้นจึงมีทางเลือกให้ซื้อขายผ่านกระดานต่างประเทศ (Foreign) หรือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) แทน

รวมไปถึง “คนไทยที่ไม่ประสงค์ออกนาม” ไม่อยากจะแสดงชื่อว่าตัวเองเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ก็ลงทุน NVDR ได้เช่นกัน ซึ่งก็จะได้ใบแสดงสิทธิมาแทนหุ้น แล้วไทยเอ็นวีดีอาร์ก็จะไปซื้อหุ้นตัวนั้นแทนให้

ดังนั้น บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด” จึงมีเงินลงทุนจำนวนมาก ที่มาจากเงินของนักลงทุนที่ซื้อขายผ่านบริษัท มักเข้าซื้อหุ้น “บริษัทใหญ่ในไทย” ในทุกอุตสาหกรรม เเละเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ตามที่เราได้เห็นกันบ่อยๆ ใน SET

โดยจะเคลื่อนไหวมากในกลุ่มหุ้นใหญ่ๆ อย่าง SET50 หรือ SET100 เช่น หุ้นที่ NDVR ซื้อมากในปี 2562 ได้แก่ CPALL, BDMS, SCC, SCB, CPF ส่วนหุ้นที่ NDVR ขายมากในปี 2562 ได้แก่ PTTGC, KBANK, TOP, PTT, PTTEP เป็นต้น  

ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้คาดการณ์ว่าถ้าบริษัทไหนมีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นไทยเอ็นวีดีอาร์อยู่ด้วยเเล้ว ก็อนุมานได้ว่านักลงทุนต่างชาติกำลังสนใจหุ้นตัวนี้

โดยการที่นักลงทุนต่างชาติ มีจำนวนเงินมหาศาลในการซื้อขายหุ้น ทำให้มีแนวโน้มจะดันราคาหรือกดดันราคาหุ้นได้ เราจึงสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดจากข้อมูลของ NVDR เพื่อดูแนวโน้มราคาหุ้นว่าจะไปในทิศทางใดได้

สรุปเเล้ว คนที่ซื้อขายผ่าน “บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด” ก็เป็นได้ทั้ง นิติบุคคล-นักลงทุนรายย่อยชาวต่างชาติเเละชาวไทย เป็นนักลงทุนใหญ่ที่ไม่ประสงค์ออกนาม เป็นคนที่เราเห็นบ่อยๆในทีวี เป็นเพื่อน หัวหน้างาน หรือเพื่อนบ้านของเรา ก็อาจจะเป็นได้… 


Thursday, October 1, 2020

Set status as of Oct 01, 2020

 Set status as of Oct 01, 2020

SET Index = 1247  PE = 21.42  (Thai Government 10 year Bond = 1.36% as per  Aug2020)
Yield Gap =   3.31%

 Billy B. =   BEAR




Stock Monthly Winner
 
SET 1305 --> 1247 (-4.6%)
 
Noble          43%
AUCT           39%
FSMART        36%
PIMO            31%
AH               31%
VCOM           22%
WICE            16%


กลุ่มเครื่องดื่ม
ICHI             27%
SAPPE          23%





Monday, September 21, 2020

Super Stock ใน 10 ปีข้างหน้า/ดร.นิเวศน์ (Sep2020)

Super Stock ใน 10 ปีข้างหน้า/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Posts 

https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=63144&p=1872038#p1872038


เมื่อประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้วในตลาดหุ้นไทย มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็น Value Investor ก่อกำเนิดขึ้น พวกเขาเป็นนักลงทุน “หน้าใหม่” ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นนักลงทุน “รายย่อย” และเป็น “คนกินเงินเดือน” ที่มีรายได้ค่อนข้างดีเนื่องจากจบการศึกษาสูง หลายคนเรียนจบจากต่างประเทศและมีตำแหน่งหน้าที่การงานในบริษัทชั้นนำของประเทศหรือบริษัทข้ามชาติ และก็แน่นอนว่าบางคนก็มีฐานะทางบ้านที่ดีหรือดีมากและเป็นนักธุรกิจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เหมือนกันหมดก็คือทุกคนมีความมุ่งมั่นในการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นตามแนวทางการลงทุนของ “VI” อย่างที่เรียกกันในปัจจุบันนั่นก็คือ การมองว่าหุ้นก็คือธุรกิจและเราสามารถประเมินมูลค่าของมันได้ และจะซื้อก็ต่อเมื่อมูลค่านั้นสูงกว่าราคาหุ้นมากพออย่างที่เรียกว่ามี Margin of Safety สูง และจะขายต่อเมื่อราคาหุ้นสูงเกินพื้นฐานหรือ “มูลค่าที่แท้จริง” นั้น


ผมคงไม่ต้องพูดว่า VI กลุ่มนั้นต่างก็ทำผลงานการลงทุนได้ดีเยี่ยม หลายคนเป็นเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ คนที่เคยกินเงินเดือนต่างก็ “เกษียณตัวเอง” ตั้งแต่อายุยังน้อยและกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัวจนถึงวันนี้ แต่ VI “รุ่นใหม่” ที่เพิ่งจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่เกิน 6-7 ปีนั้น จำนวนมากก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนพยายามเสาะแสวงหาหุ้น “VI” ที่จะทำกำไรได้งดงามและเจริญรอยตาม VI รุ่นก่อนที่เป็น “ไอดอล” แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ประสบความสำเร็จนัก และอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเลยก็ได้ ปัญหาที่ผมเห็นก็คือ เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยในภาวะปัจจุบันและอาจจะต่อเนื่องไปอีกนานนั้น ไม่เอื้ออำนวยที่จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนที่ดีเลิศอย่างที่เคยเป็นเมื่อเกือบ 10 หรือ 20 ปีก่อน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ เราจะหาหุ้น “VI” หรือหุ้นที่จะเป็น “Super Stock” ในอีก 10 ปีข้างหน้าได้ยากมาก



วิธีหนึ่งที่จะลงทุนระยะยาวแล้วร่ำรวยเหมือน VI รุ่นก่อนนั้น ผมคิดว่าเราจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวยมาก เพราะแม้ว่าผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทำผลงานได้ดีเป็นสิบ ๆ ปีจนเปลี่ยนชีวิตได้นั้น ผมก็คิดว่าส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ “โชคดี” ที่ผมลงทุนในประเทศไทยในยุคนั้นซึ่งเป็นยุคที่เศรษฐกิจไทยก้าวหน้าเร็วมากและคนไทยเริ่มต้องเก็บเงินเพื่อรองรับการเกษียณของคนที่กำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้มีบริษัทหรือกิจการที่แข็งแกร่งและโตเร็ว ขณะเดียวกันก็มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามาแย่งซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีเหล่านั้น ทำให้หุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าสูงขึ้นมหาศาล

ด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ผมใช้ซึ่งก็คือ การซื้อหุ้นของกิจการที่ “ดีสุดยอด” นั่นก็คือ บริษัทที่มีความแข็งแกร่งเพราะมีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนและโตเร็วด้วย ในราคาหุ้นที่ถูกหรือราคายุติธรรม แล้วถือไว้อย่างยาวนานนับ 10 ปี และได้รับผลตอบเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 10 เท่า ซึ่งผมเรียกว่าเป็น “Super Stock” วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและไม่ต้องใช้เวลาและความพยายามมาก สิ่งที่ต้องทำก็คือการวิเคราะห์ “ภาพใหญ่” ให้ถูกต้อง เลือกหุ้นที่มีศักยภาพที่จะแข็งแกร่งและเติบโตได้อีกนานในราคาหุ้นที่ถูกหรือยุติธรรมซัก 5- 6 ตัว เสร็จแล้วก็ติดตามดูผลประกอบการและสถานะของกิจการไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้มันหมดสภาพของซุปเปอร์สต็อก ถ้าทำได้แบบนี้ ในเวลา 10 ปี เราก็จะ “เห็นหน้าเห็นหลัง” เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน ปัญหาก็คือ แล้วที่ไหนล่ะที่เราจะทำอย่างนั้นได้ในวันนี้

คำตอบของผมก็คือ “เวียตนาม” ข้อแรกก็คือ สภาวะทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นของเวียตนามในวันนี้คล้ายคลึงกับประเทศไทยเมื่อ 10-20 ปี ก่อนมาก ในขณะเดียวกัน ตัวหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นจำนวนไม่น้อยก็มี Business Model หรือวิธีทำธุรกิจที่คล้ายกับตลาดหุ้นไทยในเวลานั้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ มีธุรกิจ “ใหม่ ๆ” ที่กำลังเติบโตอย่างแรงตามฐานะทางเศรษฐกิจของเวียตนามที่โตเร็วมาก ซึ่งทำให้คนชั้นกลางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและหันมาใช้สินค้าหรือบริการแบบใหม่ ๆ นั้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ “Modern Trade” ทั้งหลายไล่ตั้งแต่ห้างที่เป็นช็อปปิ้งมอล Mega Store ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่ ธุรกิจขนส่งสินค้า การเดินทางและท่องเที่ยวเช่น ท่าเรือ สนามบินและโรงแรม ธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานทั้งเรื่องของไฟฟ้าและน้ำมัน ธุรกิจธนาคารและการเช่าซื้อรถยนต์รวมถึงการปล่อยกู้บ้านและบัตรเครดิต นอกจากนั้นก็ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่ยังขาดแคลนมาก เช่น ทางด่วนและน้ำประปาที่บริษัทเอกชนเข้ามารับสัมปทานกับรัฐ ทั้งหมดนั้น ได้รับการพิสูจน์ในประเทศไทยแล้วว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพสูงที่จะกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและเติบโตได้ในระยะยาว



ประเด็นที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ บริษัทจดทะเบียนเหล่านั้นส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ยังมีราคาหรือ Market Cap. ต่ำมากเมื่อเทียบกับบริษัทที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกในตลาดหุ้นไทยแล้ว ตัวอย่างหุ้นตัวที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มที่ผมคิดว่ามีมูลค่าตลาดต่ำจนแทบไม่น่าเชื่อเมื่อเปรียบเทียบกับของไทยก็เช่น

หุ้น A ที่ทำสัมปทานทางด่วนที่จะมีระยะเป็นร้อยกม. และยังมีโครงการอื่น ๆ อีกมากและถือว่าเป็นบริษัทที่ทำสัมปทานเกี่ยวกับสาธารณูปโภคที่ใหญ่ที่สุดในเวียตนามนั้น มี Market Cap. เพียง 5-6,000 ล้านบาท ค่า PE 4-5 เท่า PB 1 เท่า เศษ ๆ และราคาหุ้นขณะนี้เท่ากับครึ่งหนึ่งของราคาสูงสุดที่เกิดขึ้นเมื่อ 3-4 ปีก่อน แน่นอนว่าบริษัทก็มีปัญหามากมายและมีหนี้ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม มูลค่าบริษัทก็ดูเหมือนว่าจะไม่สมศักดิ์ศรีกับความใหญ่โตและสำคัญของบริษัทเลย

หุ้น B ที่ขายโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ที่ครองตลาดเวียตนามค่อนข้างเด็ดขาด ซึ่งต่อมาขยายเข้าไปขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่โดดเด่น และช่วงหลังเข้าไปทำซุปเปอร์มาร์เก็ตขนาดเล็กภายในชุมชนซึ่งเติบโตเร็วมาก มียอดขายสิ้นปีที่แล้วกว่า 130,000 ล้านบาท มีสาขาทั่วประเทศนับเป็นพัน ๆ สาขา มีการเติบโตปีละ 20-30% ต่อเนื่อง แต่ค่า PE เพียง 9-10 เท่า Market Cap. ประมาณ 47,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับยอดขายและกำไรแล้ว ศักยภาพของบริษัทสามารถเป็นซุปเปอร์สต็อกได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม นี่คือบริษัทที่นักลงทุนต่างชาติถือหุ้นเต็มเพดานและต้องจ่ายราคาเพิ่มอย่างน้อย 40-50% จากราคาตลาด

หุ้น C ที่เป็น “จ้าวพ่อ” ด้านของเทคโนโลยีของเวียตนามในแง่ที่ว่าสามารถขายบริการเขียนโปรแกรมให้บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ทำคอนเทนต์ทางด้านดิจิตอล นอกจากนั้นยังให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตแก่องค์กรและประชาชนทั่วไป และล่าสุดก็ยังเปิดสถาบันการศึกษาทางด้านดิจิตอลที่มีนักศึกษาเรียนกันจนล้น ส่วนหนึ่งเพื่อป้อนบุคลากรให้บริษัทด้วย ค่า PE ของหุ้นแค่ 11 เท่า Market Cap. 48,000 ล้านบาท พอ ๆ กับบริษัทที่ขายมือถือ และก็มี Premium หรือราคาหุ้นสำหรับนักลงทุนต่างชาติเหมือนกันแม้จะไม่มากเท่าคือประมาณ 20-30% และนี่ก็เป็นบริษัทที่โดดเด่นและมีความแข็งแกร่งที่ไม่เหมือนใครในตลาดหุ้นเวียตนามที่ไม่มีในประเทศไทย

หุ้น D ซึ่งเป็นบริษัทสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงนั้น เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าทั้งเขื่อนที่ใหญ่ที่สุดและโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินและอื่น ๆ จำนวนมาก นอกจากนั้นก็ยังมีธุรกิจเดิมที่ทำระบบปรับอากาศที่น่าจะใหญ่ที่สุดในเวียตนาม รวมถึงยังมีการทำออฟฟิสราคาไม่แพงให้เช่า ที่น่าสนใจก็เพราะว่าทรัพย์สินที่บริษัทถืออยู่โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าทั้งหลายนั้นมีมูลค่ามากและทำกำไรได้สม่ำเสมอ แต่ Market Cap. ของบริษัทมีเพียง 14,000 ล้านบาท ค่า PE 7 เท่า ค่า PB ต่ำกว่า 1 เท่า และปันผลหรือ Dividend Yield ก็มากกว่า 5% ต่อปี



ทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ “ตัวอย่าง” หุ้นที่มีศักยภาพเป็น ซุปเปอร์สต็อกในอีก 10 ปีข้างหน้า ความจริงก็คือ ยังมีหุ้นอีกหลาย ๆ ตัวที่มีความแข็งแกร่งเพราะมีความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจที่ยั่งยืนและมีการเติบโตเร็วมาก แต่อาจจะมีราคาหุ้นที่สูงขึ้นพอสมควรแล้วและอาจจะไม่สามารถสูงขึ้นต่ออีก 10 เด้งใน 10 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของตลาดหุ้นไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อนนั้น ผมพบว่าเรามีหุ้นที่กลายเป็นซุปเปอร์สต็อกกว่า 10 ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าตลาดหุ้นเวียตนามในวันนี้ก็น่าจะสามารถสร้างหุ้นที่จะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกใน 10 ปีข้างหน้าไม่น้อยกว่า 10 ตัวเหมือนตลาดหุ้นไทยในอดีต อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ว่าหุ้นตัวไหนจะกลายเป็นซุปเปอร์สต็อกก็อาจจะผิดพลาดได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการลงทุนเป็น “พอร์ต” ของซุปเปอร์สต็อก ซัก 5-6 ตัวและถือหุ้นไว้ให้นานเป็น 10 ปี โดยที่อาจจะต้องมีการปรับพอร์ตบ้างเป็นระยะเมื่อมีข้อมูลของบริษัทเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ด้วยวิธีนี้ VI รุ่นใหม่ก็อาจจะสามารถร่ำรวยได้เหมือน VI รุ่นก่อน