Tuesday, June 30, 2015

ย้อนรอย วิกฤตการณ์มหากาพย์ "ปัญหาหนี้กรีซ" สะเทือนเศรษฐกิจโลก

ย้อนรอย วิกฤตการณ์มหากาพย์ "ปัญหาหนี้กรีซ" สะเทือนเศรษฐกิจโลก

http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1435587940


วิกฤติหนี้กรีซ...มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

2552 /2009


สาเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจกรีซ สาเหตุแรกมาจาก การขาดดุลภาครัฐของรัฐบาล โดย การขาดดุลการคลังของกรีซอยู่ที่ 12.7% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมที่ทางกลุ่มสหภาพยุโรปกำหนดไว้ถึงประมาณ 4 เท่าตัว   และหนี้ของภาครัฐของกรีซเพิ่มสูงขึ้นถึง 112.6% ของ GDPในปี 2552 ซึ่งสูงกว่าระดับที่เหมาะสมที่ทางกลุ่มสหภาพยุโรปกำหนดไว้ถึงประมาณเกือบ 2 เท่าตัว


ปี 2553/2010
ในเดือน มีนาคม 2553 รัฐสภากรีซผ่านร่างรัฐบัญญัติคุ้มครองเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดรายจ่ายภาครัฐลงถึง 48,000 ล้านยูโร โดยการดำเนินมาตรการหลายอย่าง รวมทั้งการลดค่าจ้างภาคเอกชน เป็นเหตุให้ประชาชนนัดหยุดงานทั่วประเทศ ณ กรุงเอเธนส์เพื่อประท้วงต่อการลดค่าใช้จ่ายและการเพิ่มภาษี

ในเดือนพฤษภาคม 2553 ได้มีการบรรลุข้อตกลงกู้ยืมระหว่างกรีซ กับกลุ่มทรอยกา ซึ่งได้แก่ สหภาพยุโรป, กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารกลางแห่งยุโรป (อีซีบี) ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวประกอบด้วยเงินกู้ทันที 45,000 ล้านยูโรที่จะได้รับในปี2553 และเงินกู้อื่น ๆ จะได้รับในภายหลัง ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทั้งหมด 110,000 ล้านยูโร  โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงถึง 5%

ปี2554/2011
กลางปี2554กรีซยังประสบปัญหาในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจถึงจะมีมาตรการรัดเข็มขัดและพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจลดจำนวนข้าราชการเพิ่มภาษีแต่ก็ยังไม่สามารถระดมเงินได้ทันและคาดว่าจะไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันกำหนดส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆในยุโรปโดยเฉพาะในเยอรมนีและฝรั่งเศสซึ่งถือพันธบัตรหรือตราสารหนี้ของกรีซเป็นมูลค่าสูงได้รับผลกระทบตามไปด้วย


ปี2555/2012
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จากผลกระทบต่อประเทศในยูโรโซนดังกล่าว รัฐบาลกรีซจึงได้รับการอนุมัติเงินช่วยเหลือระยะสองมูลค่า 130,000 ล้านยูโร ซึ่งจำนวนเงินส่วนหนึ่งจะเข้าสู่สถาบันการเงินกรีซไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านยูโร และการปรับลดหนี้ของภาคเอกชนลงร้อยละ 53.5

เดือนธันวาคม2555กรีซเสนอร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีเพิ่มอีก2,500ล้านยูโร(ราว100,000ล้านบาท)ระหว่างปี2556-2557 ภายใต้เงื่อนไขรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ โดยร่างกฎหมายจัดเก็บภาษีเพิ่มเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการตัดลดค่าใช้จ่าย มูลค่า 13,500 ล้านยูโร (ราว 540,000 ล้านบาท) เป็นเวลา 2 ปี เพื่อให้สามารถรับความช่วยเหลืองวดใหม่จากสหภาพยุโรป (อียู)และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
ปี 2556/2013
โดยในการประชุมของกลุ่มรัฐมนตรีคลังยูโรโซน ที่กรุงบรัสเซลล์ มีข้อตกลงการมอบเงินช่วยเหลือกรีซจำนวน 2,500ล้านยูโร จากกองทุนช่วยเหลือยูโรโซน กับอีก 1,500 ล้านยูโรจากธนาคารกลางยุโรป จากนั้นภายในเดือนตุลาคม(ปีเดียวกัน)จะมีการโอนเงินเพิ่มเติมอีก 500 ล้านยูโรจากกองทุนช่วยเหลือและอีก 500 ล้านยูโรเท่ากันจากธนาคารกลางยุโรป ส่วนไอเอ็มเอฟ จะมอบเงินกู้งวดแรก 1,800 ล้านยูโร จากทั้งหมด 6,800 ล้านยูโร

ต่อมากรีซได้สั่งปิดสถานีโทรทัศน์"เฮเลนิคบรอดแคสติ้งคอร์ปอเรชั่น"หรือERTเพื่อให้สอดคล้องกับข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับสหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศในการตัดลดงบประมาณอย่างการปิดรัฐวิสาหกิจโดยการปิดสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวได้สร้างความประหลาดใจให้กับชาวกรีซซึ่งสถานีโทรทัศน์ 7 แห่ง สถานีวิทยุ 29 แห่ง รวมไปถึงหน้าเว็บไซต์อีกหลายเว็บถูกปิดตัวลง รวมไปถึงลูกจ้างอีก 2,650 คนถูกไล่ออกจากงาน ซึ่งนายแอนโตนิส ซามาราส นายกฯของกรีซ(ในขณะนั้น) กล่าวว่า การปิดสถานีโทรทัศน์ ERT ของรัฐนั้นเป็นแค่การปิดชั่วคราว เพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวม

ปี 2557 /2014
ภายใต้เงื่อนไขของการรับความช่วยเหลือทางการเงินจากนานาชาติ กรีซต้องจัดทำงบประมาณเกินดุลให้ได้ถึง 4.5 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีในปี 2559 ซึ่งรัฐบาลกรีซในขณะนั้นบอกว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายดังกล่าวโดยไม่ต้องใช้มาตรการรัดเข็มขัดที่ไม่ได้รับความนิยมมากไปกว่านี้แต่หวังว่าจะหันมาอาศัยความช่วยเหลือจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและระบบการจัดเก็บภาษีที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ รัฐบาลกรีซต้องชำระหนี้พันธบัตรมูลค่า 1,850 ล้านยูโร (ราว 79,000 ล้านบาท) ภายในต้นเดือนมกราคมปี2558


ปี 2558/2015

เดือนมกราคม 2558 นายอเล็กซิส ซิปราส ผู้นำพรรคไซรีซา ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของกรีซ โดยนายซิปราสได้เป็นผู้นำพรรครัฐบาลผสมหลังคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปของกรีซ

ทั้งนี้ ในอดีตระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งปี 2555 นายซีปราสเคยโจมตีพรรครัฐบาลขณะนั้นอย่างรุนแรงที่ยอมดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดตามใบสั่งจากเจ้าหนี้ และการได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดทำให้เขาเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก  ว่าเป็นนายกฯกรีซที่กล้างัดข้อกับกับไอเอ็มเอฟ และสหภาพยุโรป

เดือนกุมภาพันธ์2558 มีการประชุมระหว่างรัฐมนตรีคลังของกรีซกับประเทศยูโรโซน  เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับการแก้ไขวิกฤติ หนี้ของกรีซ  ซึ่งในการประชุมดังกล่าวได้ปิดฉากลงในเวลาอันรวดเร็วโดยไร้ความคืบหน้า ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวของทั้งสองฝ่าย

เดือนมีนาคม 2558 ทางการสหภาพยุโรปได้เปิดการหารือกับนายอเล็กซิส ซีปราส นายกรัฐมนตรีกรีซ เกี่ยวกับการจัดการปัญหาหนี้ของกรีซ โดยสมาชิกอียูหลายประเทศ รวมทั้งเยอรมนียืนกรานหนักแน่นว่ากรีซจะต้องทำตามเงื่อนไขของอียูอย่างเคร่งครัด โดยอียูได้ตัดสินใจขยายเวลาเงินกู้มูลค่า 240,000 ล้านยูโรให้กับกรีซ ซึ่งยอมยืดกำหนดเวลาชำระหนี้ของกรีซออกไปอีก 4 เดือน ด้านรัฐบาลกรีซอ้างว่า เป็นเงื่อนไขของฝ่ายอียูในการเข้ามาตรวจสอบการบริหารเงินกู้ของกรีซนั้นอยู่เหนือบทบาทของการเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงและเหล่าเจ้าหนี้พยายามเข้าแทรกแซงการเมืองกรีซ

ด้านผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนชาวกรีก พบว่า 3 ใน 4 ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของยูโรโซนต่อไป และเกินครึ่งต้องการให้รัฐบาลบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ แม้ว่าจะหมายถึงการต้องแบกรับการรัดเข็มขัดที่หนักขึ้น ดังนั้นหากนายซีปราส นายกฯไม่สามารถตกลงกับเจ้าหนี้ได้ย่อมส่งผลต่อคะแนนเสียง

27 มิถุนายน 2558  นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส ประกาศใช้มาตรการลงประชามติซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 5 ก.ค นี้ เพื่อพิจารณาว่า กรีซควรรับข้อเสนอให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อกู้วิกฤตหนี้หรือไม่ ซึ่งกลุ่มเจ้าหนี้ทั้งสหภาพยุโรปและธนาคารกลางยุโรป ระบุในที่ประชุมสุดยอดผู้นำอียูในเบลเยี่ยมว่าจะยืดเวลาช่วยเหลือไปอีก 5 เดือนเเละหากว่ากรีซทำตามเเผนปฎิรูปการเงิน  กลุ่มเจ้าหนี้ก็พร้อมที่จะอนุมัติเงินกู้ช่วยเหลือราว 68,000 ล้านบาทให้ในทันทีรวมถึงจะพิจารณาอนุมัติเงินกู้งวดสุดท้ายอีก 270,000 ล้านบาท จากงบประมาณช่วยเหลือทั้งสิ้น 9 ล้านล้านบาท

ด้านนายซีปราส ยืนกรานว่า ข้อเสนอดังกล่าวสร้างความอับอายให้กรีซเเละได้ประณามข้อเรียกร้องของกลุ่มเจ้าหนี้ว่ามากเกินกว่าจะรับได้ เเละนายกฯกรีซยังยืนยันไม่ทำตามข้อเสนอ เเม้จะต้องชำระหนี้กว่า 56,000 ล้านบาทภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ก็ตาม

28 มิถุนายน 2558  ชาวกรีกทั่วประเทศ แห่พากันไปถอนเงินจากตู้เอทีเอ็มของธนาคาร ด้วยความตื่นตระหนกและกังวล เนื่องจากนายกฯกรีซประกาศชัดเจนว่า รัฐสภามีมติเห็นชอบให้มีการลงประชามติ เกี่ยวกับโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กรีซยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับบรรดาเจ้าหนี้ได้ โดยนายสตาฟรอส โคคอส ประธานสหภาพพนักงานธนาคาร เผยว่า ตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา(27 มิ.ย.) มีเงินสดถูกถอนออกไปราว 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 48,954 ล้านบาท  ซึ่งมีเพียง 40% เท่านั้นที่ยังมีเงินสดเหลืออยู่ในตู้เอทีเอ็ม






Thursday, June 4, 2015

SET status as of June 4 '15

SET status as of June 4 '15



SET Index = 1490
 PE = 20.2  (Thai Government 10 year Bond = 2.62% as per Apr 2015)
 Yield Gap = 2.33% (ต่ำกว่า 1.8% ควรระวัง!!!) (มากกว่า 2.5% น่าสนใจนะ!!!)


Billy B. = Bear!!!!!!!!

 O'Neil   = ยังคง Market in Correction !!!!

  % SET compare to EMA50 = ติดลบ (ถ้า 5% ถือว่าค่อนข้าง peak ทีเดียว!!!)