Monday, October 31, 2022

SCAP slide as per new regulator issue (Oct 2022)

 SCAP slide as per new regulator issue (Oct 2022)







Calculation from Slide

- Net Profit from Interest income = around  0.5% per month

- say Port SCAP

     - End 2022 = 18,000 MB -->  Net Profit = 90 MB per month

     - End 2023 = 32,000 MB  -->  Net Profit = 160 MB per month

- ยังไม่รวม รายได้อื่น ๆ, ค่าธรรมเนียม และค่าปรับ 

Tuesday, October 18, 2022

Berkshaire Hathaway Market Cap and Cash on hand

 Berkshaire Hathaway Market Cap and Cash on hand


https://www.macrotrends.net/stocks/charts/BRK.B/berkshire-hathaway/market-cap


https://www.macrotrends.net/stocks/charts/BRK.A/berkshire-hathaway/cash-on-hand




as of Oct 2022 = Cash (say 30 B) /Market Cap = 30/600 = 5%

End of June 2022 = Cash/Market Cap = 30/610 = 4.9%

End of Dec 2021 =  Cash/Market Cap = 88/677 = 13%

Covid time (End of Mar 2020) = Cash/Market Cap = 42/420 = 10% 


Tuesday, October 4, 2022

โลกในมุมมอง Value Investor (1 Oct 2022)

โลกในมุมมอง Value Investor (1 Oct 2022)


ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อ-ค่าเงินบาท และตลาดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)

.
ประเด็นทางเศรษฐกิจในช่วงเวลานี้ดูเหมือนว่าจะวนเวียนอยู่กับ 3-4 เรื่องคือ อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลก ทุกประเทศต่างก็ประสบกับปัญหาซึ่งเริ่มต้นจากราคาพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวขึ้นแรงอานิสงค์จากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทำให้รัสเซียลดการส่งให้กับยุโรปอย่างกระทันหันผสมกับการที่เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฟื้นตัวขึ้นแรงหลังวิกฤติโควิด-19 ซึ่งทำให้มีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นในขณะที่กำลังการผลิตของโลกไม่ได้ปรับตัวขึ้นมานาน
.
อย่างไรก็ตาม “ภาพใหญ่” ของเรื่องเงินเฟ้อก็คือ เศรษฐกิจของอเมริกาเติบโตร้อนแรงเกินไปทำให้การผลิตตามไม่ทัน การแก้ไขก็คือ ต้องลดอัตราเงินเฟ้อลงอย่างรีบด่วน
.
วิธีการก็คือ เพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงของธนาคารกลางหรือเฟดที่อยู่ในอัตราที่ต่ำต่อเนื่องมายาวนานน่าจะเป็น 10 ปีหลังวิกฤติซับไพร์มซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในอัตราบางช่วงที่ 1% หรือต่ำกว่านั้น ให้ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง อาจจะเหลือไม่เกิน 2-3% ต่อปี ซึ่งเป็น “อัตราปกติ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจโตแบบมีเสถียรภาพ
.
โดยที่อัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะทยอยปรับขึ้นไปเรื่อย ๆ นั้น ก็มองกันว่าจะไปถึงประมาณ 4-5% ภายในสิ้นปีนี้และสิ้นปีหน้า จากอัตราปัจจุบันที่ 3-3.25% และนั่นก็คือ “อัตราดอกเบี้ยปกติ” ของอเมริกาที่เคยเป็นมายาวนานก่อนหน้าที่จะลดลงจนเหลือ 1-2% ช่วงหลังซับไพร์มที่เป็นอัตราที่ “ผิดปกติ”
.
.
.
สรุปก็คือ สหรัฐกำลังพยายามนำพาประเทศกลับสู่ “สภาวะปกติ” ที่จะทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพและเดินหน้าเติบโตต่อไปได้ในระยะยาวที่เศรษฐกิจอาจจะโตต่อไปเรื่อย ๆ ในอัตราประมาณซัก 3% ต่อปี แต่ผลกระทบในระยะสั้นก็คือ เศรษฐกิจในช่วงนี้ที่โตเร็วเกินไปจะต้องลดลง คือปีหน้าอาจจะติดลบเล็กน้อย เป็น “Soft Landing”
.
ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วและภาวะเศรษฐกิจที่กำลังถดถอยลงทำให้ตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูมากเกินไปและปรับตัวขึ้นเป็นจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์หลังโควิด-19 ตกลงมาอย่างแรง และถึงวันนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อย่าง S&P 500 ก็ตกลงมาเกิน 20% นับจากต้นปี ไม่ต้องพูดถึงดัชนีแนสแด็กที่ตกลงมากว่า 30% เป็นวิกฤติตลาดหุ้นไปแล้ว
.
ผลกระทบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยที่รวดเร็วและรุนแรงมากก็คือ ค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างมากเทียบกับค่าเงินของประเทศอื่น ๆ ทั้งโลกคือแข็งขึ้นประมาณ 18% ค่าเงินปอนด์ของอังกฤษและค่าเงินเยนของญี่ปุ่นลดลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ถึงประมาณ 20% นับจากต้นปี
.
ค่าเงินยูโรตกลงมา 15% เช่นเดียวกับเงินวอนของเกาหลีที่อยู่ในกลุ่มของประเทศเจริญแล้วที่ตกลงมา 16% ในขณะที่เงินบาทและเงินในกลุ่มประเทศเอเชียอื่น ๆ ตกลงมาในระดับประมาณ 12% เทียบกับดอลลาร์
.
เนื่องจากอเมริกาเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเงินดอลลาร์เป็นเงินที่ถูกใช้ทั่วโลก ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับอเมริกาทั้งหมดที่กล่าวถึงนั้นจึงเกิดขึ้นกับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย และก็เช่นกัน เมื่ออเมริกาปรับนโยบายทางการเงินเพื่อแก้ปัญหาของตนเอง เกือบทุกประเทศก็ต้องปรับตาม มิฉะนั้นก็จะเกิดปัญหาการไหลออกของเงินดอลลาร์ซึ่งจะทำให้เงินสำรองของประเทศมีปัญหา
.
.
.
ผลก็คือ เกือบทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศที่กำลังเติบโตเร็วที่ต้องอิงกับประเทศพัฒนาแล้วต่างก็มีปัญหาแบบเดียวกับอเมริกาคือ เศรษฐกิจกำลังจะถดถอยลงและตลาดหุ้นตกลงอย่างหนักในขณะที่ประเทศกำลังกำหนดนโยบายทางการเงินให้ “กลับเข้าสู่ภาวะปกติ”
.
นั่นคือ ต่อต้านเงินเฟ้อโดยการขึ้นดอกเบี้ยอ้างอิงที่คิดว่าจะเป็น “อัตราดอกเบี้ยปกติ” ที่เหมาะสมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวของตนเอง
ส่วนเรื่องค่าเงินนั้นก็เป็นไปตาม “กลไกตลาด” สำหรับประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ได้กำหนดอัตราคงที่ตามเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ หรือซาอุดิอาระเบีย
.
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเรื่องของค่าเงินอาจจะไม่ได้มีปัญหามากอย่างที่คนอาจจะคิด เหตุผลก็คือ ค่าเงินของประเทศต่าง ๆ นั้น อาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในสถานะเดียวกันและมีการค้าขายกันมาก ที่อาจจะเป็นปัญหาก็คืออเมริกาประเทศเดียวที่ค่าเงินแข็งมาก
.
ในส่วนของเงินบาทนั้น โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นนอกจากอเมริกาเราก็อยู่กลาง ๆ ไม่อ่อนไม่แข็ง ดังนั้น คนที่ส่งออกก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากนัก เช่นเดียวกับผู้นำเข้าเองก็อาจจะไม่ได้ลำบากอะไรในการซื้อ-ขายสินค้า โดยรวมแล้ว ดุลการค้าของประเทศก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นแม้ว่าเงินบาทจะอ่อนลงถึงกว่า 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ นี่ก็อาจจะไม่เหมือนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ค่าเงินบาท “อ่อนจริง” เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่ค้าขายด้วย ซึ่งทำให้การส่งออกของไทยดีขึ้นมากหลังวิกฤติ
.
.
.
สิ่งที่ประเทศไทยแตกต่างจากประเทศอื่นอย่างมีนัยสำคัญช่วงนี้นั้น น่าจะอยู่ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจหรือ GDP ของเรายังติดลบอยู่เมื่อเทียบกับสถานะก่อนโควิด-19 เราเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวในขณะที่ประเทศอื่นฟื้นตัวและเติบโตไปสูงกว่าก่อนโควิดแล้ว
.
ดังนั้น ถึงแม้ว่าเราก็มีเงินเฟ้อสูงมากในช่วงราคาพลังงานปรับตัวขึ้นแรง แต่อีกระยะหนึ่งมันก็คงปรับตัวลงเมื่อราคาพลังงานเริ่มลดลงซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อลดลงโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เราจึงแทบไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อที่จะลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ
.
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ไม่ถึง 1% นั้นก็ยังต่ำเกินไป เราจึงต้องปรับดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นบ้างเพื่อนำไปสู่ “อัตราปกติ” ที่เหมาะสมต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะยาวที่จะโตช้าลงมากเมื่อเทียบกับอดีต ซึ่งอาจจะเป็นอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2-3% ต่อปี
.
และนั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมแบ้งค์ชาติจึงปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นช้ามากเมื่อเทียบกับอเมริกาหรือเวียตนามที่เป็นเศรษฐกิจที่จะโตเร็วกว่าไทยมาก และนี่ก็อาจจะเป็นแบบเดียวกับญี่ปุ่นที่เศรษฐกิจโตช้ามานานมากและจะช้าต่อไปในอนาคตที่แทบจะไม่ปรับดอกเบี้ยอ้างอิงขึ้นเลยแม้ว่าอัตราที่เป็นอยู่ใกล้ศูนย์เปอร์เซ็นต์ต่อปีมานาน
.
.
.
ประเด็นสุดท้ายก็คือเรื่องของตลาดหุ้นไทยที่ดัชนีตกลงมาน้อยมากประมาณแค่ 4% นับจากต้นปีเทียบกับระดับ 20% ของประเทศที่ตลาดหุ้นโตเร็วมากก่อนหน้านี้
.
เหตุผลนั้นคงเป็นว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยก่อนหน้านั้นไม่ได้เติบโตหรือโตช้ามากโดยเฉพาะปัญหาจากโควิดซึ่งทำให้ดัชนีหุ้นไม่ได้ปรับตัวขึ้นมาก และหลังจากนั้นเราก็อยู่ในช่วง Turnaround หรือช่วงฟื้นตัวโดยเฉพาะจากการท่องเที่ยวที่จะกลับมาแรงและเร็วหลังโควิด-19 จบลง ดังนั้น หุ้นจึงไม่ตกลงมาก และผมคิดว่าหากไม่ได้มีปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ป่านนี้หุ้นไทยก็อาจจะปรับตัวขึ้นเหนือจุดสูงสุดเดิมไปแล้ว
.
นอกจากหุ้นไทยที่ตกลงมาไม่มากแล้ว ดัชนีตลาดหุ้นของประเทศที่ไม่ได้ขึ้นมามากในช่วงโควิด เช่น ตลาดหุ้นอังกฤษหรือญี่ปุ่นเองนั้น ในช่วงปีนี้ดัชนีหุ้นก็ไม่ได้ตกลงมากคือไม่เกิน 10%
.
ดังนั้น ข้อสรุปของผมก็คือ การปรับนโยบายทางการเงินของประเทศต่าง ๆ ในช่วงนี้เป็นเรื่องของการปรับให้กลับมาสู่ภาวะปกติที่ควรเป็นของแต่ละประเทศ โดยที่ประเทศไทยเองนั้น ภาวะปกติของเราอาจจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำตลอดไปคล้าย ๆ ของญี่ปุ่นเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลงอย่างถาวรเพราะประชากรแก่ตัวลงและขาดการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ และดังนั้น หุ้นจึงไม่สามารถปรับตัวขึ้นให้ผลตอบแทนที่ดีมากได้ในระยะยาวแต่ก็ไม่ตกลงมาแรงอย่างประเทศที่ยังเติบโตดีทั้งหลาย

Monday, October 3, 2022

Set status as of Oct 03, 2022

 Set status as of Oct 03, 2022

SET Index = 1558  PE = 17.17  (Thai Government 10 year Bond = 2.52% as per   Aug 2022)
Yield Gap =   3.30%

 Billy B. =  BEAR** (หุ้นเริ่มวิ่งขึ้นเหนือ SMA200 จาก BEAR stage) --> BULL --> Sick Bull --> Dead Bull




Stock Monthly Winner

 
SET 1621 --> 1558  (-4%)  

------------------------------------------------------
My Stock
SCAP                         -15%
AMANAH                   -8.5%
Sawad                      -18%

---------------------------------------------------------
Inside   
TEAMG               158%  (EEC medical hub)
DITTO                  19%


Meida
WAVE                  66% (บริการ, สื่อ, สิ่งพิมพ์)
PRAKIT                31% (บริการ, สื่อ, สิ่งพิมพ์)
NBC                     22%   (Nation22)


อาหารสัตว์
PPPM               46%  (มีพลังงานสะอาดด้วย)


อสังหา และก่อสร้าง
DPAINT                 32% (สีเดลต้า)
Hydro                   29%
STPI                     26%
STI                       20%
A5                        18%
PROS                    18%
CRD                      17%  (เชียงใหม่ริมดอย)


กลุ่ม electronic and tech and electronics and ไฟฟ้า and Telecom
Delta                 24%
IRCP                  21%
SCI                    21%
TPS                   18%



น้ำมันปาล์ม
AIE                       28%


เครื่องสำอางค์
KAMART                26%
KISS                      20%



อื่น ๆ
UREKA                 25% (เดิมผลิตเครื่องจักร แต่จะไปทำเม็ดพลาสติก และน้ำปะปา)
TMC                    24% (Mobile crane, ที่จอดรถโครงเหล็ก)
HPT                    22% (Ceramics)
BM                      21%  (ตู้ Conduit, ตู้ Control Panel)
SISB                    21%
SUSCO                20% (merge ปั้ม with ESSO)
MITSIB                20% (Leasing)
ERW                   20% (Hotel)
UAC                   19% (เคมีภัณฑ์)
BYD                   19% (หลักทรัพย์, ลุชัย ยังถือเยอะมาก) 
AMA                  18%  (เรือ)