Saturday, July 13, 2019

Compare MTC vs SAWAD (July 12 '2019)

Compare MTC vs SAWAD (July 12 '2019)

                       SAWAD                          MTC

Price                   55                                  55
Mkt Capt         73,500                          118,000
PE                        24                                30
PBV                    4.8                               8.9
NPM                    39%                            35%
Port Size            36,000                         49,000

EPS2016              1.92                             0.69
EPS2017              2.45(+27%)                 1.18(+71%)
EPS2018              2.41(No Growth)         1.75(+48%)

Expected EPS Growth 2019
                             20-30%                          35%



Wednesday, July 3, 2019

Libra: เงินใหม่ในฝัน by ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (July2019)

Libra: เงินใหม่ในฝัน by ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (July2019)



การประกาศของ Facebook ที่จะสร้างเงินดิจิตอลชื่อ Libra และนำออกใช้ในต้นปีหน้านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้โลก “ตะลึง”  คนจำนวนมากเชื่อว่า Libra จะประสบความสำเร็จและจะเป็นการ “ปฏิวัติโลกการเงิน” ที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง  จริงอยู่ว่าคนตะลึงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ Bitcoin ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลรุ่นแรกที่สร้างขึ้นโดยคนที่ชื่อ “ซาโตชิ นากาโมโต” ถูก “ปั่น” ขึ้นมาจนมีราคาสูงมโหฬารซึ่งทำให้คนสนใจเข้ามาเรียนรู้ศึกษากันทั่วโลก  คนจำนวนมากคิดว่าในที่สุด Bitcoin จะกลายเป็นเงินสกุลใหม่ที่จะมีการใช้กันอย่างแพร่หลายเพราะมันสามารถลดต้นทุนในการดำเนินการเช่นการโอนเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางที่มีต้นทุนสูงเช่นระบบแบ้งค์ เป็นต้น  นอกจากนั้น  มันยังเป็นระบบที่มีความปลอดภัยสูง  ไม่มีใครหรือรัฐบาลไหนสามารถที่จะขโมยหรือออกนโยบาย เช่น พิมพ์หรือสร้างเงินเพิ่มขึ้นมาซึ่งจะทำลายมูลค่าของเงินนั้นได้  อย่างไรก็ตาม  นับจนถึงวันนี้  Bitcoin ก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างการยอมรับของสังคมธุรกิจ  มีร้านค้าที่จะรับเงินบิทคอยน์น้อยมาก  และแม้แต่คนหรือบริษัทที่ต้องการโอนเงินระหว่างกันข้ามประเทศก็ไม่โอนผ่านบิทคอยน์  ดูเหมือนว่าคนที่สนใจและเข้าไปเกี่ยวข้องกับบิทคอยน์จริง ๆ นั้นก็คือ  “นักเก็งกำไร” ที่เข้าไปเทรดบิทคอยน์เท่านั้น

ปัญหาของบิทคอยน์ก็คือ  ราคาหรือมูลค่าของบิทคอยน์นั้นผันผวนมาก  วันหนึ่งอาจจะเปลี่ยนไปหลาย ๆ เปอร์เซ็นต์  ช่วงเวลาแค่ไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนราคาอาจจะขึ้นไปเป็นเท่าตัวหรือหลายเท่าตัว  ถ้าจะเอามาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ  คนที่ซื้อและขายก็จะมีความเสี่ยงมาก  เพราะวันที่ตกลงราคาซื้อขายกับวันที่จะต้องชำระเงินห่างกัน  มูลค่าที่คิดจากเงินตราของท้องถิ่นซึ่งเป็นฐานของต้นทุนการผลิตสินค้าจะเปลี่ยนไปมาก  ทำให้คนที่เข้าไปทำสัญญาซื้อขายอาจจะขาดทุนหรือกำไรได้โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องของธุรกิจ   การที่ราคาบิทคอยน์ขึ้นลงรุนแรงนั้น  ก็เป็นเพราะมันไม่ได้มี  “พื้นฐาน”  ของกิจการรองรับเหมือนอย่างหุ้น  หรือมีประเทศที่เป็น “ผู้ออกสกุลเงิน” มารองรับ  ราคาของบิทคอยน์ขึ้นอยู่กับ Demand – Supply หรือความต้องการซื้อหรือขายของนักเก็งกำไรโดยที่ไม่มีใครมาแทรกแซงได้

Facebook แก้ปัญหาเรื่องของราคาของ Libra และบอกว่ามันจะเป็นเงินที่มีมูลค่า “มั่นคง”  ไม่ผันผวน  เพราะมันจะเป็นเงินที่มีทรัพย์สินหนุนหลังเป็น  “ตะกร้า” ของสกุลเงินหลัก ๆ  ของโลก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ  ยูโร ปอนด์ เยน และเงินหยวนของจีน  ดังนั้น  ราคาของเงิน Libra ก็ควรจะผันผวนไปตามค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของสกุลเงินเหล่านั้น  ซึ่งทำให้คนสามารถใช้ Libra ในการกำหนดและตกลงราคาสินค้าได้เหมือนกับเงินดอลลาร์สหรัฐหรือเงินยูโร เป็นต้น โดยที่ไม่ได้มีความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น  ว่าที่จริงมันน่าจะน้อยลงด้วยซ้ำเพราะมันเป็นค่าเฉลี่ย  ไม่ใช่ค่าสูงหรือต่ำที่สุดของเงินสกุลเดียว

ประเด็นที่ไม่มีร้านค้าหรือคนอยากใช้เงินดิจิตอลนั้น  Facebook แก้โดยการชวนบริษัทที่ทำธุรกิจยุคดิจิตอลโดยเฉพาะที่ต้องจ่ายเงินข้ามประเทศ และการค้าขายแบบ E-commerce เช่นอูเบอร์ วีซ่า และอีเบย์  รวมถึงตัว Facebook เองเข้ามาเป็นหุ้นส่วนทำโครงการนี้  โดยที่จำนวนของลูกค้าเป้าหมายนับตั้งแต่วันแรกเองก็กว่า 2000 พันล้านคนเข้าไปแล้วจากผู้ใช้เฟสบุคทั่วโลก  ซึ่งนี่ก็เป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้คนน่าจะอยากใช้เงิน Libra เพราะมีร้านค้าหรือธุรกิจที่จะรับมากมายในขณะเดียวกัน  การทำธุรกิจจ่ายโอนเงินก็จะง่ายมาก  เพราะมันสามารถทำได้โดยตรงผ่าน Facebook และสื่อสังคมต่าง ๆ ของเฟสบุค  ว่าที่จริงคนจำนวนมากในปัจจุบันก็ค้าขายหรือทำประชาสัมพันธ์ผ่านเฟสบุคอยู่แล้วและทำเรื่องจ่ายเงินและรับเงินผ่านระบบการโอนเงินอื่นอยู่  การที่เฟสบุคมาทำเรื่องนี้เองก็เท่ากับอำนวยความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ใช้เฟสบุคเพิ่มเติม  ดังนั้น  โอกาสที่คนจะหันมาใช้ Libra จำนวนมากจึงมีความเป็นไปได้สูง

อีกประเด็นหนึ่งที่คนใช้เงินดิจิตอล เช่น Bitcoin อาจจะเป็นห่วงก็คือ  Facebook อาจจะเข้ามาควบคุมและใช้ข้อมูลของคนใช้ Libra มาหาประโยชน์เพื่อตนเอง  ในเรื่องนี้ทำให้เฟสบุคตั้งหน่วยงานมาดูแลเงินนี้แทนโดยการจัดตั้งสมาคมลิบราหรือ Calibra ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่ได้หวังผลกำไร  หน่วยงานนี้ประกอบไปด้วยองค์กรขนาดใหญ่ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการใช้เงิน Libra ไม่น้อยกว่า 100 ราย และน่าจะมีบทบาทสำคัญในการที่จะควบคุมและส่งเสริมให้คนมาใช้ Libra กันให้มากที่สุดซึ่งในที่สุดก็จะกลับมาสนับสนุนธุรกิจของตนเองด้วย  อย่างไรก็ตาม  สมาคมนี้ก็ประกาศว่าตนเองเป็นกลางและระบบของ Libra เป็น “ระบบเปิด” ที่จะให้ทุกคนสามารถพัฒนาแอ็ปขึ้นมาทำธุรกรรมกับ Libra ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด  ซึ่งในส่วนตัวผมเองนั้น  ผมเชื่อว่าธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ของโลกในปัจจุบันมี “เครดิต” หรือความน่าเชื่อถือพอที่จะไม่ทำอะไรผิดจรรยาบรรณ  ว่าที่จริงผมเชื่อว่าเมื่อเทียบกับรัฐบาลแล้วผมกลับคิดว่าบริษัทเอกชนบางแห่งเดี๋ยวนี้บางทีได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่าด้วยซ้ำ  เพราะพวกเขาไม่มีอำนาจทางการเมืองมาหนุน  สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ได้ก็คือการยอมรับจากสาธารณชนเท่านั้น  เขาจึงไม่กล้าทำอะไรที่ผิดและฝืนความคาดหวังของประชาชน

ด้วยการออกแบบเงิน Libra ที่แก้ปัญหาเงินดิจิตอลแบบเดิมประกอบกับการที่บริษัทยักษ์ใหญ่แบบ Facebook ที่มีทั้งเงินและลูกค้าจำนวนมหาศาลที่มีความต้องการโอนเงินข้ามประเทศซึ่งมีต้นทุนการโอนที่สูงมากนั้น  ทำให้โอกาสที่ Libra จะประสบความสำเร็จก็มีความเป็นไปได้ไม่น้อย  สิ่งที่ลำบากที่สุดนั้น  อาจจะไม่ใช่เรื่องทางธุรกิจ แต่เป็นรัฐบาลต่าง ๆ  ที่อาจจะต่อต้านการ “บุกรุก” ของเฟสบุคที่จะเข้ามาให้บริการทางการเงินในประเทศของตนโดยที่รัฐไม่สามารถจะ “ควบคุม” ได้  อย่างไรก็ตาม  ผมคิดว่า  ประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้เงิน Libra นั้นน่าจะมีไม่น้อยอย่างน้อยก็ในบางส่วนของธุรกรรมทางการเงิน เช่น  การโอนเงินข้ามประเทศสำหรับรายย่อยหรือบุคคลธรรมดา  เป็นต้น  ดังนั้น  ผมคิดว่า อย่างน้อย Libra น่าจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง   การที่มันจะประสบความสำเร็จแบบ “ถล่มทลาย” และมีคนใช้อย่างกว้างขวางทั่วโลกแบบเดียวกับการใช้ Facebook นั้น  เราคงต้องติดตามดูกันต่อไป

และถ้าเป็นอย่างนั้น  โลกทางการเงินก็อาจจะเปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่งนั่นคือ  เงินดิจิตอล Libra จะกลายเป็นเงินหลักของโลกอีกสกุลหนึ่ง

ในฐานะที่เป็นนักลงทุน  ผมเองคิดว่าการมีเงินหรือถือเงินสดในระยะยาวแล้วมีความเสี่ยงไม่ได้น้อยไปกว่าหุ้น  เหตุผลก็เพราะว่าเงินเฟ้อมีโอกาสที่จะทำลายค่าของเงินได้มากมาย  ตัวอย่างที่เตือนผมตลอดเวลาก็คือเวเนซูเอลา  ซึ่งถ้าคุณเคยเป็นคนรวยเป็นเศรษฐี “พันล้าน” ของเวเนซูเอลาและเก็บเงินทั้งหมดเป็นเงินในธนาคารหรือในพันธบัตร  ถึงวันนี้เงินนั้นอาจจะเหลือแค่ไม่ถึงล้านและกลายเป็นคนจนไปแล้วได้  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  ผมอยากที่จะถือเงินสดไว้หลาย ๆ สกุลถ้าทำได้  แต่ในทางปฏิบัติ  การกระจายการถือครองแบบนั้นทำได้ยาก  ต้นทุนในการแลกเปลี่ยนเงินตราในปัจจุบันก็แพงมาก  ต้นทุนในการติดตามทั้งเรื่องของเวลาที่ใช้และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของพอร์ตก็สูง  ดังนั้น  ถ้าในอนาคต Libra กลายเป็นเงินสกุลที่แพร่หลายและการแลกเปลี่ยนก็มีต้นทุนที่ต่ำมาก  ผมเองก็อาจจะอยากฝากเงินหรือลงทุนในเงินสกุลนี้ที่เป็นเสมือนตัวแทนของเงินสกุลหลักอื่น ๆ  ของโลกด้วยแทนที่จะถือเงินสกุลเดียว   ไม่แน่นะครับ  อีกไม่นานเราก็อาจจะได้ใช้เงินใหม่ที่เป็นเสมือน “เงินในฝัน” ในวันนี้

Monday, July 1, 2019

Set status as of July 01, 2019 and Half year performance

Set status as of July 01, 2019 and Half year performance

SET Index = 1740  PE = 18.76  (Thai Government 10 year Bond = 2.52% as per May 2019)
Yield Gap = 2.81%


 Billy B. = BULL!!!!!
O'Neil   = Uptrend!!!!!
% SET compare to EMA50 = 4.5% (ถ้า 5% ถือว่าค่อนข้าง peak ทีเดียว!!!)
 
 
 



Half year 2019 performance