การลงบัญชี กลุ่ม AMC by Solo Investor
https://www.facebook.com/search/top?q=solo%20investor
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------- Secured Loan ---------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
---------------------------- Unsecured Loan ------------------------------------------------
----------------------------------------------------------------------------------------------
ซื้อหนี้มา 100
มูลหนี้ 1000
ผลตอบแทน 10% ต่อปี
การจัดเก็บใช้ 5 ปีจบอายุ
ดังนั้นคาดว่าจะเก็บได้ปีละ 30
หรือคิดเป็น Cash Collection Rate 3% ต่อปี หรือ เดือนละ 0.25% ของมูลหนี้
สิ่งที่เกิดในงบ JMT / CHAYO / CHASE แบบอุดมคติ
รายได้ / ยอดจัดเก็บเงินสด / ECL / กำไรในงบ และ ต้นทุนคงเหลือ / ดอกเบี้ยค้างรับ / ECL สะสม
2555 = 10 / 30 / 0 / 10 และ 80 / 0 / 0
2556 = 8 / 30 / 0 / 8 และ 58 / 0 / 0
2557 = 5.8 / 30 / 0 / 5.8 และ 33.8 / 0 / 0
2558 = 3.4 / 30 / 0 / 3.4 และ 7.2 / 0 / 0
2559 = 0.7 / 30 / 0 / 22.8 และ 0 / 0 / 0
ทำให้เบ็ดเสร็จ จะมีกำไรจาก Financial Asset ชิ้นนี้ = 10 + 8 + 5.8 + 3.4 + 22.8 = 50 บาท ตรงตามที่บริษัทคาดการณ์
ความเสี่ยงของธุรกิจ Unsecured มี 2 อย่าง คือ
1. ตั้ง IRR ผิดตั้งแต่ต้น (จากการวางระยะเวลานานเกินไป และตั้ง Cash Collection สูงไป)
2. ตั้งสมมติฐาน Cash Collection สูงเกินไป
จากตัวอย่างด้านบน
ผมเปลี่ยนเฉพาะ IRR จาก 10% เป็น 20%
สิ่งที่เกิดในงบแบบอุดมคติ
รายได้ / ยอดจัดเก็บเงินสด / ECL / กำไรในงบ และ ต้นทุนคงเหลือ / ดอกเบี้ยค้างรับ / ECL สะสม
2555 = 20 / 30 / 0 / 20 และ 90 / 0 / 0
2556 = 18 / 30 / 0 / 18 และ 78 / 0 / 0
2557 = 15.6 / 30 / 0 / 15.6 และ 63.6 / 0 / 0
2558 = 12.7 / 30 / 0 / 12.7 และ 46.3 / 0 / 0
2559 = 9.3 / 30 / 0 / 9.3 และ 25.6 / 0 / 0
เมื่อเป็นแบบนี้ สิ่งที่คุณ Enjoy กำไรเกินจริง มาตั้งแต่ปีแรกๆ จะต้องถูกลบล้าง ณ สิ้นปีที่ 5 คือ ตั้งสำรอง -25.6 ลบ. ทันที เพราะบริษัททำได้จริง ไม่ตรงกับสมมติฐานที่บริษัทตั้งไว้
และหากนับตาม Cash Basis แล้ว ยอดจัดเก็บที่คุณทำได้ คือ 150 จากต้นทุน 100 ดังนั้นกำไรของ Financial Asset ชิ้นนี้ควรอยู่ที่ = 150 - 100 = 50 บาท ไม่ใช่กำไร 75.6 นั่นเอง....ดังนั้นกำไรที่รับรู้เกินจริงไป 25.6 ลบ. จะต้องล้างทิ้งทั้งหมด
จากตัวอย่างแรก
ผมเปลี่ยนเฉพาะ ยอดจัดเก็บจากปีละ 30 เป็น 25
สิ่งที่เกิดในงบแบบอุดมคติ
รายได้ / ยอดจัดเก็บเงินสด / ECL / กำไรในงบ และ ต้นทุนคงเหลือ / ดอกเบี้ยค้างรับ / ECL สะสม
2555 = 10 / 25 / 0 / 10 และ 85 / 0 / 0
2556 = 8.5 / 25 / 0 / 8.5 และ 68.5 / 0 / 0
2557 = 6.9 / 25 / 0 / 6.9 และ 50.4 / 0 / 0
2558 = 5.1 / 25 / 0 / 5.1 และ 30.5 / 0 / 0
2559 = 3.1 / 25 / 0 / 3.1 และ 8.6 / 0 / 0
ในกรณีนี้ก็เช่นกัน เมื่อจบปีที่ 5 ยังเหลือเงินลงทุนค้างอยู่ 8.6 ลบ. ซึ่งตามหลักจะต้องตั้งสำรองทิ้งทั้งหมด เพราะหากนับตาม CASH Basis แล้ว ยอดจัดเก็บคุณทำได้ 125 จากต้นทุน 100 ดังนั้นกำไร = 125 - 100 = 25 บาท นั่นเอง....การที่คุณรับรู้กำไรไประหว่างทาง 33.6 จึงไม่ถูกต้อง และต้องตั้งสำรองล้างส่วนต่าง – 8.6 ลบ. ทิ้งทันที
อย่างไรก็ตาม ที่ผมบอกในตัวอย่าง 3 กรณี คือ แบบอุดมคติ ที่ไม่มีการตั้ง ECL ระหว่างทางเลยสักบาทเดียว แต่ในความเป็นจริง ECL จะต้องตั้งไว้ระหว่างทางแล้ว ไม่ว่าจะในกรณีที่ 2 หรือ 3 เพราะทุกไตรมาสหรือทุกปี บริษัท และ Auditor จะต้องมานั่งรีวิวสมมติฐานกัน
หากเห็นว่า Cash Collection Rate จะไม่ใช่ 3% ต่อปี หรือ 0.25% ต่อเดือนอีกต่อไป...เช่นอาจกลายเป็น 2% ต่อปี ก็จะต้อง Plot Expected Cash ในอนาคตที่เหลือ แล้วคิด PV ย้อนกลับมา เทียบกับ Book ก็จะเกิดสำรองสะสมขึ้นใน Financial Asset ชิ้นนั้นๆครับ
ปัญหา ของกลุ่ม Unsecured ที่เราไม่รู้ คือ
1. บางบริษัทเอา กระเป๋าซ้าย เข้ากระเป๋าขวา หมายถึง การเอาบริษัทอื่นๆในเครือ มาปล่อนกู้ให้ลูกหนี้ NPL เพื่อมาปิดบัญชีกับบริษัท AMC ซึ่งเป็นการปั้น Cash Collection ให้ยังอยู่ในกรอบตามกรณีที่ 1 (หรืออาจเกินกว่ากรอบ) เพื่อให้บันทึกกำไรในงบ AMC และเป็นหนี้เสียในงบบริษัทอื่นๆ
2. ราคาซื้อปัจจุบันไม่เหมือนในอดีต จากแต่ก่อนซื้อหนี้ 4-5% ของมูลหนี้ ปัจจุบันอาจไป 6-10% ซึ่งการใช้สถิติเดิมทั้งเรื่อง IRR และ Cash Collection Rate ในอดีตอาจไม่ถูกต้องอีกต่อไป ซึ่งตามจริง เมื่อต้นทุนสูงขึ้น AMC ที่ดีควรจะต้องลด Expected IRR ลงให้สะท้อนกับต้นทุนของ Financial Asset ชิ้นนั้นๆ
เท่าที่ผมทราบคร่าวก็ประมาณนี้ครับ ลองเอาไปถามแต่ละบริษัทดูว่าใช่ไหม และมีบริษัทไหนมีพฤติกรรมแบบที่ผมกล่าวข้างต้นหรือไม่