เผาหลอก-เผาจริง
โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR 12 มิ.ย. 2565
ในช่วงปีวิกฤติต้มยำกุ้ง 2540 นั้น ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของไทยตกลงไปแรงมากถึง 53% จาก 832 จุด เหลือเพียง 373 จุด ซึ่งนักลงทุนต่างก็รู้สึกเสมือนว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นได้ “ตาย” และถูก “เผา” ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็ยังมีนักลงทุนที่ “กล้าหาญ” ซึ่งมีจำนวนน้อยมากบางคนคิดว่ามันเป็น “โอกาสสุดยอด” ใน “วิกฤติ” ที่จะต้องเข้าไปช้อนซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขารู้ว่ามีความเสี่ยงรออยู่ แต่โอกาสที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้นเหนือกว่ามาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขาคิดว่า “ถ้าอยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ”
ประวัติศาสตร์ที่ตามมาบอกว่าพวกเขา “คิดผิด” อย่างน้อยก็ในระยะสั้นอีกเกือบ 1 ปี หลังจากนั้น เพราะดัชนีตลาดหลักทรัพย์หลังจากสิ้นปี 2540 ตกลงไปอีกมากและเหลือแค่ 215 จุด เมื่อสิ้นเดือนสิงหาคม 2541 เป็นการตกลงอีกถึง 42% ใน 8 เดือน “วิกฤติ” กลายเป็น “หายนะ” ซ้ำ ว่าที่จริงดัชนีตลาดหุ้นไทยในปี 2539
ก่อนวิกฤติเศรษฐกิจ 1 ปี ก็ตกลงมาแรงเป็น “วิกฤติ” อยู่แล้ว คือดัชนีลดลงจาก 1,281 จุดเหลือเพียง 832 จุด หรือลดลงถึง 35% เพียงแต่เหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมานั้นยังไม่ชัด เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ในปี 2539 GDP ของไทยยังโตถึง 5% แต่ “ใส้ใน” ของเศรษฐกิจไทยกำลัง “เน่า” เกิดการขาดดุลการค้าและดุลการชำระเงินอย่างหนัก สินค้าส่งออกไม่สามารถแข่งขันได้เพราะค่าเงินบาทที่แข็งกว่าความเป็นจริง
เหตุการณ์ในช่วงปีต้มยำกุ้งดังกล่าวนั้น ต่อมาถูกเรียกโดยนักลงทุนไทยว่าเป็นปี “เผาหลอก” คนคิดว่า “งาน” หรือพิธีส่งศพจบแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าการ “เผาจริง” กำลังจะเริ่ม และมันจะรุนแรงกว่า ดังนั้น คนที่คิดว่าการเข้าไป “ช้อนซื้อหุ้น” หรือเข้าไปเก็บหุ้นที่ตกระเนระนาดและไม่มีใครต้องการนั้น จะเป็นกลยุทธ์ที่ดีหรือเป็นโอกาสมหาศาล
อาจจะคิดผิด คนที่คิดว่าหุ้นตกลงไปขนาดนั้นแล้วคงจะไม่ตกลงไปได้มากแล้วก็อาจจะคิดผิด การเข้าไปซื้อหุ้น “หลังวิกฤติ” อาจจะเป็นการคิดผิด เพราะวิกฤติทางเศรษฐกิจที่แท้จริงและรุนแรงขึ้นอาจจะกำลังตามมา สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นอาจจะเป็นแค่ “ส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง”
ถ้าตอนสิ้นปี 2539 เราเห็นว่าหุ้นไทยตกลงมา 35% และเราคิดว่าเศรษฐกิจไทยก็ยังดีอยู่มากและเราก็คงแก้ปัญหาเรื่องการส่งออกและเงินสำรองของประเทศได้ ดังนั้นเราจึงเข้าไปซื้อหุ้นหลัก ๆ ที่อิงอยู่กับดัชนีหุ้น เราก็จะขาดทุนไป 52% ในปี 2540 และถ้าเราคิดว่าหุ้นไม่น่าจะตกต่อไปได้มากอีกแล้วที่ 373 จุดในตอนสิ้นปี 2540
ซึ่งเท่ากับดัชนีตลาดประมาณต้นปี 2531 หรือประมาณ 10 ปีที่แล้ว และเราเข้าไปซื้อหุ้น เราก็จะขาดทุนไปอีก 42% ในเวลาเพียง 8 เดือน โดยรวมแล้ว ใน “ช่วงเวลาแห่งความเลวร้าย” 1 ปี 8 เดือน เราอาจจะขาดทุนไป 90% ดังนั้น การเข้าไป “ซื้อหุ้นหลังวิกฤติ” เพราะคิดว่าเป็นโอกาสนั้น แท้ที่จริงแล้วก็อาจจะมีความเสี่ยงพอๆกัน โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้วิเคราะห์และ/หรือเลือกหุ้นให้ดีพอ และที่สำคัญมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ เวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้น เข้าเร็วเกินไป- เจ๊ง เข้าช้าเกินไป- เสียโอกาส
ประวัติศาสตร์ของวิกฤติตลาดหุ้นที่เป็น “ตลาดหมี” นั้นบอกเราว่า ตลาดหุ้นอเมริกานั้นเกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก 6 ปี ส่วนตลาดเอเชียยกเว้นญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นถี่กว่ามาก ส่วนหนึ่งเพราะมีหลายตลาด จะเกิดขึ้นเฉลี่ยประมาณทุก 3 ปี แต่ที่อาจจะน่าสนใจกว่าสำหรับนักลงทุนบางคนที่อาจจะอยาก “เปลี่ยนชีวิต” โดยการเข้าไปซื้อหุ้นยามวิกฤติก็คือ ระยะเวลาของตลาดหมีว่าแต่ละครั้งกินเวลานานเท่าไร?
คำตอบก็คือ ประมาณ 9 เดือน ยกเว้นในกรณีที่เกิดวิกฤติร้ายแรงระดับที่ทำให้เศรษฐกิจ “ล่มสลาย” อย่างในกรณี “มหาวิกฤติ” ปี 1929 ของสหรัฐและช่วงปี 1973 กรณีวิกฤติน้ำมันและเงินเฟ้อสูงมากจนเป็น Stagflation ระยะเวลาของตลาดหมีก็กินเวลา 2-3 ปี หรืออย่างในกรณีต้มยำกุ้งของไทยเอง ระยะเวลาก็ยาวถึง 2 ปี 8 เดือน
ตลาดหมีรอบนี้ของอเมริกาเพิ่งจะเกิดขึ้นประมาณ เกือบ 6 เดือน นับจากต้นปีจนถึงวันที่ 10 มิถุนายน ดังนั้น ดูเหมือนว่าหุ้นสหรัฐอาจจะยังไม่ได้ตกถึงพื้นจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหตุการณ์ล่าสุดที่มีการประกาศอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายสิบปีที่ 8.26%
และการที่ธนาคารกลางประกาศว่าจะเดินหน้าเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปอีกหลายรอบรวมถึงการดูดเม็ดเงินออกจากระบบโดยการทำ QT อย่างมหาศาลในช่วงเวลาหลายปีข้างหน้า ซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างแรงเฉลี่ยประมาณ 3% ในวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเริ่มที่จะกลัวว่าจะเกิดเงินเฟ้อพร้อมกับการถดถอยทางเศรษฐกิจหรือ Stagflation ในไม่ช้า
ในปี 2540 ผมได้เข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างจริงจังและเต็มที่ แต่ในวันนั้นผมไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะทำกำไรจากการที่เข้าไปซื้อหุ้นถูกเพื่อที่จะขายต่อเมื่อหุ้นฟื้นตัว ผมซื้อหุ้นในตอนนั้นเพราะจะต้อง “เอาตัวรอด” จากความเสี่ยงที่ต้องตกงานและหางานทำที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้น ผมจึงหาทางลงทุนเงิน “ก้อนสุดท้าย” ที่ “ไม่เสี่ยง” และได้ผลตอบแทนที่เหมาะสมและสามารถใช้ชีวิต “คนชั้นกลางค่อนข้างดี” ของผมในวัย 40 กว่าปีต่อไปได้
ผมดูการลงทุนหลายอย่างและพบว่าหุ้น “บางตัว” มีคุณสมบัติแบบนั้น “ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร” ผมโชคดีที่พบหลายตัวและลงทุนรวมกันเป็นพอร์ตที่ดี เห็นได้จากการที่พวกมันไม่ตกเลยแม้หุ้นโดยรวมจะตกลงไปอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์ และเมื่อหุ้นทั้งตลาดฟื้น มันกลับเติบโตมากกว่าทำให้พอร์ตเติบโตขึ้นต่อเนื่องยาวนานจนถึงทุกวันนี้ หุ้นเหล่านั้นหลายตัวต่อมาผมเรียกว่า “ซุปเปอร์สต็อก”
วิกฤติรอบนี้ผมกำลังพยายามทำคล้าย ๆ กันในตลาดหุ้นเวียดนาม ผมไม่ได้ชวนให้คนไปลงทุนในเวียดนาม แต่คิดว่าทุกคนสามารถเลือกแนวทางลงทุนในยามวิกฤติแบบที่ผมทำได้ในทุกตลาด เลือกหุ้นที่คิดว่าแข็งแกร่งมาก เติบโตได้ยาวนานในราคาหุ้นที่ไม่แพง และถือไว้ยาวนาน
No comments:
Post a Comment