โลกในมุมมองของ Value Investor 26 มิถุนายน 64
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่เริ่มสนใจและเขียนถึงตลาดและหุ้นเวียดนามมาหลายปี ผมมักจะบอกว่าเวียดนามมีคุณสมบัติหรือเส้นทางการพัฒนารวมถึงวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างเหมือนไทยมาก เพียงแต่เวียดนามตามหลังไทยอยู่อย่างน้อยเป็น 10 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าในไม่ช้าก็จะตามทันและน่าจะแซงไทยไปด้วย บทความเรื่อง “The Next Thailand (and beyond)” ที่ผมเขียน ซึ่งน่าจะเป็นบทความแรกที่ “ปลุกกระแส” การลงทุนของนักลงทุนไทยในตลาดหุ้นเวียดนามนั้น ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 6 ปีเต็มแล้ว ถ้าจะให้สรุปก็คือ ทุกอย่างของเวียดนามนั้นเป็นไปตามที่คาด การพัฒนาประเทศและตลาดหุ้นของเวียดนามในช่วง 6 ปีที่ผ่านมานั้นต้องเรียกว่า “สุดยอด” และสวนทางกับประเทศไทยที่โตช้าลงมาก
พูดโดยเฉพาะตลาดหุ้นนั้น ตลาดเวียดนามก้าวหน้าไปมากจนจำแทบไม่ได้ บริษัทจดทะเบียนใหม่ ๆ ที่โดดเด่นมากและมีศักยภาพที่จะกลายเป็น “Super Stock” ในหลาย ๆ อุตสาหกรรมในอนาคตปรากฏตัวขึ้นและ “ก้าวข้าม” บริษัทที่เคยใหญ่ที่สุดในช่วง 6 ปีก่อนอย่างหุ้นวีนามิลค์ไปหลายบริษัทแล้ว เช่นเดียวกับความหลากหลายของหุ้นใหญ่ ๆ ในเวียดนามที่มีมากขึ้นใกล้เคียงกับบริษัทในตลาดหุ้นไทยแล้ว ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่มีแค่ 4-5,000 ล้านบาท ก็กลายเป็น 30,000 ล้านบาท นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าเมื่อ 6 ปีที่แล้วดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ประมาณ 600 จุดและวันนี้อยู่ที่ 1,390 จุด ไล่กวดดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ 1,580 จุด โดยที่ดัชนีหุ้นไทยแทบไม่ได้ไปไหนเลยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา แต่สำหรับนักลงทุนหลาย ๆ คนที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามรวมถึงผมเองนั้น ความรู้สึกก็คือ “ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร” โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการลงทุนในประเทศไทยในช่วงเวลาที่ตลาด “บูม” ที่ทำให้ “VI” จำนวนมาก “รวย” จนเหลือเชื่อ อะไรคือความแตกต่างระหว่างหุ้นไทยกับหุ้นเวียดนาม?
ในความคิดของผม สิ่งแตกต่างระหว่างหุ้นไทยกับหุ้นเวียดนามที่ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องของคนที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและหุ้น และความแตกต่างนี้น่าจะมีส่วนที่ทำให้การลงทุนของ VI ไทยยังไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นเวียดนาม คนที่เกี่ยวข้องที่ว่านี้ไล่มาตั้งแต่เจ้าของบริษัท ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นักลงทุนในประเทศ นักลงทุนต่างประเทศ และอาจจะรวมถึงกฎเกณฑ์การซื้อขายหุ้นและผู้คุมกฎหรือก.ล.ต. ของเวียดนามด้วย
ประการแรกก็คือ ผมคิดว่าเวียดนามนั้น ยังไม่มีคนที่เป็น “VI” จริง ๆ หรือถ้ามีก็อาจจะยังไม่ใช่รายใหญ่หรือมีบทบาทชี้นำราคาหุ้นได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ยังไม่มี “เซียน VI” ที่มีผลงานลงทุนสุดยอดหรือพอร์ตหุ้นใหญ่โตจริง ๆ ในความรู้สึกของผมก็คือ นักลงทุนส่วนบุคคลของเวียดนามนั้น มีเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไรเป็นหลัก ในส่วนของนักลงทุนที่เป็นสถาบันในประเทศก็มีน้อยมากหรือแทบจะยังไม่มีเลย กองทุนรวมหรือ ETF ที่จดทะเบียนในประเทศเวียดนามเองนั้น ส่วนใหญ่น่าจะลงทุนโดยนักลงทุนจากต่างประเทศ เช่น กองทุนหรือ ETF ที่อิงกับหุ้นใหญ่ที่สุด 30 ตัว หรือ ETF Diamond ที่ลงทุนในหุ้นที่ติด Foreign Limit เป็นต้น
ผลจากการที่ “ไม่มี VI” ทำให้หุ้นที่มีพื้นฐานดีในตลาดหุ้นเวียดนามไม่ได้มีคนสนใจที่จะลงทุนมากกว่าปกติ ดังนั้นราคาของหุ้นก็จะไม่แพง ค่า PE ก็อาจจะอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ยของตลาดอาจจะ 15-20 เท่า และการปรับขึ้นของราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นตามกำไรต่อหุ้นที่อาจจะอยู่ที่ 15-20% ต่อปี ถ้าโชคดี อย่าลืมว่ากำไรของบริษัทในระยะยาวแล้ว แม้แต่หุ้นที่ดี “สุดยอด” ก็มักจะไม่เกิน 15% ทบต้นในระยะยาวสำหรับบริษัทที่ไม่ได้มีขนาดเล็กมากนัก ดังนั้น VI ไทยที่ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามจะหวังได้กำไรสำหรับหุ้นบางตัวเป็นร้อย ๆ เปอร์เซ็นต์แถมสามารถคูณเพิ่มจากการซื้อหุ้นด้วยมาร์จินที่จะทำให้ได้กำไรสูงและเร็วมากในยามที่ตลาดหุ้นเอื้ออำนวยจึงหวังได้ยาก ผิดกับตลาดหุ้นไทยที่หุ้นของกิจการดีนั้น จะมีกลุ่ม “VI” จำนวนมากเข้าไปเล่นจนดันราคาให้สูงขึ้นซึ่งทำให้ค่า PE ปรับตัวขึ้นมหาศาลจาก 20 เท่าอาจจะกลายเป็น 40 60 หรือแม้แต่ 80 เท่า เมื่อบวกกับการเติบโตของกำไรก็จะทำให้ราคาหุ้นสามารถขึ้นไปหลายเท่าได้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือนหรืออาจจะแค่ 2-3 ปี
ความแตกต่างสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ หุ้นเวียดนามนั้น ส่วนใหญ่ “ไม่มีเจ้าของ” หมายความว่าเจ้าของที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้นมักจะเป็นหน่วยงานรัฐเนื่องจากเวียดนามเพิ่งจะเปิดประเทศเป็นระบบทุนนิยมที่ให้สิทธิประชาชนเป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ดังนั้น บริษัทส่วนใหญ่จึงมีแต่ผู้บริหารที่บ่อยครั้งก็ไม่เน้นสร้างมูลค่าให้กับหุ้น บางคนก็ไม่เน้นที่จะต้องเติบโตเร็ว เพราะทำไปก็ไม่ได้อะไรมากนักแต่อาจจะเสี่ยงถ้าผิดพลาด จำนวนมากก็เป็นคนสูงอายุที่เข้ามาเป็นได้ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากพรรคหรือเจ้าหน้าที่รัฐและอยู่มานาน ไม่เหมือนหุ้นไทยที่มีเจ้าของและมีแรงจูงใจที่จะทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อที่ว่าตนเองจะมั่งคั่งตามกันไป เจ้าของบริษัทจำนวนมากเน้นการเติบโต ขยายกิจการ และทำหลายสิ่งหลายอย่างรวมถึงการประชาสัมพันธ์ การเชียร์หุ้น การทำ “วิศวกรรมการเงิน” เช่นการออกวอแรนต์หรือใช้เครื่องมือแปลกใหม่เช่นเหรียญคริปโต หรือการชักชวนหรือออกหุ้นใหม่ให้ “เซียน” มาซื้อลงทุนเพื่อที่จะช่วยผลักดันราคาหุ้น เป็นต้น
นอกจากไม่มีเจ้าของแล้ว หุ้นเวียดนามนั้นมักจะมีการกระจายของผู้ถือหุ้นจำนวนมาก บริษัทส่วนใหญ่นั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดที่เป็นบุคคลหรือสถาบันที่ไม่ใช่รัฐซึ่งบ่อยครั้งก็คือต่างชาตินั้น จะถือหุ้นเพียง 10-20% คนที่ถือรองลงมาก็จะถือกันคนละ 2-3% และก็มีไม่มาก ดูไปแล้วอาจจะคล้าย ๆ บริษัทในตลาดหุ้นเจริญแล้วอย่างในสหรัฐที่เป็นบริษัทมหาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น การ “Corner” หุ้น หรือการที่หุ้นจะถูก “ไล่ซื้อจนหมด” และราคาหุ้น “ถูกควบคุม” ได้ค่อนข้างเด็ดขาดแบบที่มักจะเกิดในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในหุ้นตัวเล็กหรือกลางที่มี Free Float ต่ำจึงทำได้ยากมาก ผลก็คือ โอกาสที่หุ้นจะถูกไล่ราคาเมื่อมีข่าวหรือผลประกอบการดีขึ้นมากจึงแทบจะไม่มี ราคาหุ้นที่ขึ้นกันเป็นหลาย ๆ เท่าและทำให้ค่า PE ปรับตัวขึ้นเป็น 100 เท่าในระยะเวลาอันสั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะคนจำนวนมากจะขายหุ้นทำให้คนที่พยายามทำ Corner หุ้นจะไม่สำเร็จ ผมเองเคยพบอยู่บ่อย ๆ ว่าหุ้น “Super Stock” หลาย ๆ ตัวของเวียดนามนั้น มีกำไรเติบโตปีละ 20-30% หรือมากกว่านั้นอย่างต่อเนื่อง ศักยภาพความสามารถในการแข่งขันก็สูงมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ราคาหุ้นก็แค่ปรับตัวขึ้นพอ ๆ กับกำไรที่โตขึ้น ไม่มีการปรับ PE เมื่อเทียบกับหุ้นไทยที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันและมีการเติบโตคล้าย ๆ กัน หุ้นไทยจะขึ้นไปบางทีมากกว่าหุ้นเวียดนามหลายเท่าตัว เพราะค่า PE จะปรับขึ้นไปมากกว่าหุ้นเวียดนามหลายเท่า
ตลาดหุ้นเวียดนาม ณ.ขณะนี้ผมเดาว่ายังไม่ค่อยมีนักลงทุน “ขาใหญ่” หรือ “เซียน” หรือ “เจ้ามือ” ที่จะเข้ามามีบทบาทชี้นำราคาหุ้นเหมือนตลาดหุ้นไทย เหตุผลก็คงเป็นเพราะคนที่มี “เงินสด”เพื่อการลงทุนมากพอนั้นยังมีน้อย กองทุนรวมที่จะระดมเงินก็ยังมีน้อย นักธุรกิจที่เริ่มมีเงินก็น่าจะสนใจการลงทุนขยายกิจการมากกว่าที่จะนำมา “เล่นหุ้น” หรือ “ลงทุนในตลาด” ดังนั้น เม็ดเงินที่เข้าตลาดจึงไม่มีกำลังพอที่จะดันหุ้นให้ขึ้นมาสูงกว่าปกติหรือเกินพื้นฐานได้ นี่ก็ต่างจากตลาดหุ้นไทยที่ ขาใหญ่หรือเซียนหรือเจ้ามือสามารถดันหุ้นกลุ่มเล็ก ๆ ให้ขึ้นมาได้ทุกวันหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปโดยที่สามารถขายหุ้นทำกำไรและทิ้งหุ้นให้รายย่อยเข้ามารับได้เรื่อย ๆ
ทั้งหมดที่พูดนั้น ผมคิดว่าทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามของ VI ไทย อย่างน้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักเทียบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง “ยุคทองของ VI” ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าวันหนึ่งตลาดหุ้นเวียดนามอาจจะเปลี่ยนไปจนทำให้เกิดสถานการณ์แบบ “ยุคทองของ VI” หรือยุคทองของคนที่เน้นลงทุนโดยอิงกับพื้นฐานหรือแนวเติบโตที่จะทำให้คนลงทุนสามารถได้ผลตอบแทนสูงผิดปกติในช่วงเวลาหนึ่งก็ได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ถ้าเราลงทุนระยะยาวมากและยึดกับหลักการแบบ VI จริงจัง ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปเป็น 10 ปี อย่างไรเสียเราก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี เช่น อย่างน้อยได้ผลตอบแทนปีละ 10-15% แบบทบต้น ซึ่งนั่นก็คือการประสบความสำเร็จที่สูงมากแล้ว และเราก็ควรจะลืมไปได้แล้วว่า โอกาสที่จะได้ผลตอบแทน “สุดโต่ง” แบบที่อาจจะเคยได้ในตลาดหุ้นไทยนั้น เป็นเรื่อง “ฟลุ้ค” และเป็นเรื่องครั้งหนึ่งในชีวิตที่อาจจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว
No comments:
Post a Comment