Thursday, June 21, 2018

พี่โจ ลูกอิสาณ Interview 2018

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=472880216475594&id=178124232617862

คุณโจ ลูกอีสานบินจากหาดใหญ่มากรุงเทพในวันที่ 1กค2561
เพื่อมารายการ Money Talk@MAI Forum ที่ รร centara @centralworldในหัวข้อ Maiเล็กดีรสโตจริงหรือ16.00-17.00
เลยขอนำประวัติการลงทุนมาให้รู้จักก่อน
เกริ่นนำโดยดร ไพบูลย์ว่า
คุณโจเกิดที่จังหวัด พังงา มาเรียนหนังสือที่ม หาดใหญ่ ชอบหนังสือที่แต่งโดย คำพูน บุญทวี เรื่องลูกอีสาน
เลยมาใช้ชื่อ โจ ลูกอีกสาน จริงๆเป็นคนพังงา
เรียนป โท การเงินที่ ม รามคำแหง เคยเป็นนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า สมัยที่สอง

เริ่มเข้าสู่รายการ

คำถาม สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากที่คุณโจ ลงทุนในช่วงแรกอย่างไร

 คุณโจ ตอบว่า ผมลงทุนในปี40 ประมาณเมื่อ 20ปีที่แล้ว  มีที่เปลี่ยนไปคือ คนเก่งเยอะขึ้น
ผมลงทุนตามหลังดร นิเวศน์ไม่นาน  ตอนนี้คนเก่งมากขึ้น การหาหุ้นถูกๆดีๆในตอนนี้ยากขึ้น
ตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อเทียบกับสมัยก่อน  ราคาหุ้นสะท้อนพื้นฐานของบริษัทมากขึ้น

คำถาม ตอนนี้เราจะหาหุ้นกันอย่างไร

 คุณโจ ตอบว่า ผมว่ายังต้องลงทุนต่อไป ถึงแม้ว่าจะยากขึ้นก็ยังใช้วิธีการลงทุนแบบเดิม
แต่อาศัยมุมมองที่เฉียบคมมากขึ้น อดทนรอมากขึ้น  เมื่อก่อนใช้เวลา1ปี ก็ขายได้ ตอนนี้ 3 ปีก็ยังรอ
โดยมีเงื่อนไขว่าพื้นฐานบริษัทยังดีอยู่
ในอดีตหุ้นดี ใน1ปี มีคนเห็นหุ้นนั้น ทำให้ราคาหุ้นขึ้น สมัยนี้ 2-3ปี เราก็ต้องยอมรอ ถ้าพื้นฐานหุ้นยังดีอยู่
ดังนั้นผลตอบแทนเทียบกับสมัยก่อนลดลงเยอะ  ส่วนนึงมาจากฐานทุนของ อ โจที่เพิ่มขึ้นด้วย
ตอนนี้คาดหวังผลตอบแทน30-40% ยากมาก คนที่ได้return สูงๆ เปรียบเสมือนการเห็นแต่ยอดข้างบนของภูเขาน้ำแข็ง
แต่ใต้ภูเขาน้ำแข็งเราไม่เห็น ตอนพลาดเขาไม่มาบอกเราหรอก

ผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลจากนี้ไปได้ 15% ต่อปี โดยเฉลี่ย

 ตลาดหุ้นไทยในระยะยาวจากนี้ไป จะให้ผลตอบแทน 9-10%ต่อปี

คุณโจ อธิบายที่มาของผลตอบแทน ประกอบไปด้วย เงินปันผล3% ซึ่งได้ค่อนข้างแน่สำหรับหุ้นที่มีพื้นฐานดี
ตลาดหลักทรัพย์ปีนี้เทรดที่ Price per book 3.2 เท่า
PEตลาดหุ้นตอนนี้ 18 เท่า ถ้าเรากลับเศษและส่วนก็คือ 100/18 = 6%
Yieldคิดเป็น 6% แบ่งเป็นอย่างละครึ่ง มาจากมูลค่าทางบัญชีที่บริษัทจดทะเบียน
สะสมไว้ครึ่งนึง ส่วนที่เหลืออีกครึ่งนึงเป็นเงินปันผล
แต่ตลาดเทรดที่ 2 เท่าของ PE  ดังนั้น ทุนจะเป็น 3*2= 6%
รวมกับ เงินปันผลอีก3% รวมแล้ว ได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 9-10%ต่อปี
แต่ถ้าเราใส่ความรู้เข้าไปสักหน่อยในการคัดเลือกหุ้น ผลตอบแทนที่ได้น่าจะประมาณ 15%ต่อปีในระยะยาว
แต่ถ้าคาดหวังมากกว่านี้ ค่อนข้างไม่แน่นอนสูง

คำถามจากดร นิเวศน์ว่า Profile ของนักลงทุนเปลี่ยนไป หรือไม่ถ้าเทียบกับสมัยก่อน
คุณโจ ตอบว่า เปลี่ยนไปค่อนข้างชัดเจน

ผมดูตัวเลขของนักลงทุนรายย่อยล่าสุดปรับลดจาก 70-80% เหลือแค่ครึ่งเดียว
สัดส่วนของต่างชาติเท่าเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือนักลงทุนสถาบัน  เช่น กองทุนรวม LTF , RMF หรือ กองทุนส่วนบุคคล ซึ่งปัจจุบันถือในสัดส่วนประมาณ 20%
กองทุนจะอิงกับพื้นฐานหรือ Fundamental ของบริษัท  จะเริ่มคล้ายกับต่างประเทศที่รายย่อยจะเหลือแค่ 30%
รายย่อยในต่างประเทศจะไปลงทุนในกองทุนรวมมากกว่า

ดร นิเวศน์ ถามต่อว่า Profile ของนักลงทุนรายย่อยได้เปลี่ยนแปลงไปไหม

คุณโจตอบว่า ที่เห็นได้ชัดเจนตอนมีงาน IPOหุ้นใหม่ หรือ จัดเลี้ยงลูกค้า แนะนำหุ้นใหม่ จะเห็นคนอายุน้อยมากขึ้น
คนที่เกษียณและมาลงทุนหุ้น ถ้าขาดทุนบ่อยๆ สุดท้ายทุนหมดก็จะหายไป
นักลงทุนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ที่ดีขึ้นเนื่องจากเข้าหาข้อมูล เรียนรู้การลงทุนจากสื่อทางInternetได้ง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน มีการเปิดเผยข้อมูลที่ดีพอสมควร ขึ้นกับนักลงทุนมีการเตรียมตัวพร้อมขนาดไหน

 ดร ไพบูลย์เสริมว่า คนที่ไปเรียน Thaivi course อายุน้อยลง

คุณโจ พูดต่อว่า คนที่อยู่รอดได้ต้องเป็นมืออาชีพมีความรู้ดี
ถ้ามาเล่นๆ คงอยู่ยาก แนะนำไปลงทุนกองทุนรวมดีกว่า

คำถาม ปี2018 ลงทุนอย่างไร จะเลือกหุ้นประเภทไหนบ้าง

คุณโจตอบว่า โดยเนื้อแท้ของวีไอ มีความเป็นตัวของตัวเอง เป็นแนว contrarian  แนวทางไม่เปลี่ยนง่ายๆ ตราบใดที่ผลตอบแทนยอมรับได้  ตลาดหุ้นปลี่ยนแปลงไป สมัยก่อนที่ลงทุนในปี2540 PEต่ำสุดที่เคยซื้อได้ 3 เท่า

 สมัยนี้ PE ถูกสุด 7-8 เท่าแต่คุณภาพไม่ค่อยดี เลือกหุ้นอาจผิดพลาด  สุดท้ายต้องมาดูคุณภาพของกิจการมากกว่าเน้นราคาถูกไว้ก่อน เพราะมีปัจจัยที่ทำให้หุ้นเหล่านั้นถูกเสมอ
( หมายถึงตลาดฉลาด รู้ว่าบริษัทไม่ค่อยดีเลยให้ราคาถูก)
แต่ถ้าเป็นหุ้นดี ราคาหุ้นมักจะแพง เช่น PE มากกว่า 50 เท่า   หุ้นถูก หมายถึง บริษัททำกำไรได้มาก ดูจากPE สูงสุดไม่เกิน 50 เท่า   มีหุ้นบางตัวที่สูงกว่า 50 เท่า ต้องมั่นใจว่าหุ้นต้องโตมากๆ มีอนาคตดี
จะทำให้หุ้นมีPE ลดลงจากกำไรที่เพิ่มขึ้นในอนาคตเช่น เพิ่มขึ้น100%
นี่เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวตามตลาด

 คุณโจอธิบายต่อว่า สาเหตุที่PEของตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 12 เท่าเป็น 18 เท่า
เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยตอนนี้ต่ำมากเหลือ 1% จากสมัยก่อนที่ดอกเบี้ยที่ระดับสูง
ดังนั้นหุ้นPE 18 เท่า ได้ผลตอบแทน 3%กว่า ก็ยังคุ้มกว่าการฝากเงิน


เหตุผลในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ

ผมลงทุนในต่างประเทศ เป็นการกระจายความเสี่ยงของอำนาจเงินของเรา เราไม่เสี่ยงลงทุนAssetในตระกร้าเงินบาทอย่างเดียว
ถ้าเงินบาทอ่อนตัว อำนาจในการซื้อลดลงถ้าถือเฉพาะสกุลเงินบาท

ตอนนี้ลงทุนในฮ่องกง และ เวียดนาม เวียดนามมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินอ่อนตัว
(ปีที่แล้ว ขาดทุนค่าเงินประมาณ 10%ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง)
ประเทศไทยปีที่แล้ว มีดุลบัญชีเดินสะพัดดีมากทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ส่งผลให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่างประเทศลดลง บางทีอาจขาดทุนด้วย  ผมลงทุนในต่างประเทศมาสามปี แต่ยังไม่เพิ่มสัดส่วนมากขึ้น
การลงทุนในต่างประเทศ สภาวะแวดล้อมไม่เหมือนกับในไทยที่เราชำนาญกว่า
สัดส่วนของportต่างประเทศลดลงจาก 10% เหลือ 7%
เพราะสัดส่วนของหุ้นไทยเพิ่มขึ้นนั่นเอง


 ผมลงทุนในหุ้นเกือบ100%มีลงทุนที่ดินนิดหน่อย

 โดยหุ้นต่างประเทศ คิดเป็น 7% ของ Port มีลงทุนที่เวียดนามและฮ่องกง


 คำถามจาก ดร ไพบูลย์ว่า ลงทุนหุ้น 100% ถ้าเจอหุ้นที่ดีทำอย่างไร

 คุณโจตอบว่า ขายหุ้นที่มีupsideน้อยมาซื้อหุ้นที่มีupsideที่สูงขึ้นแทน
คนที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน ต้องตีราคาหรือประเมินราคาหุ้นได้
เพราะเป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อหรือขาย
เรารู้มูลค่าที่แท้จริงจากคุณภาพและกำไรที่บริษัททำได้

1.หุ้นที่มีคุณภาพดี สะท้อนไประดับที่PEที่ตลาดให้ หุ้นดี PEต้องสูงกว่าตลาดอาจเป็น
20,30,40เท่า สะท้อนมาจากการเติบโตของบริษัท ผู้บริหารเป็นต้น

2.ปัจจัยเรื่องกำไร
กำไรต่อหุ้น เราต้องประเมินได้ปีหน้าจะกำไรเท่าไหร่มาจากข้อมูลที่ผู้บริหารให้ข่าวและกำไรที่เคยได้ในอดีต
สมมติ เราให้PE 20 กำไร 1 บาท ดังนั้น ราคาที่คำนวณได้ 20 บาท
ถ้าเราประเมินมูลค่าของบริษัทได้ใกล้เคียง จะช่วยในการเลือกซื้อได้  สุดท้ายราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับกำไรของกิจการ
คนที่เข้าใจกำไรของกิจการ ก็สามารถคำนวณราคามูลค่าที่แท้จริงได้

 ทุกวันนี้อ่านบทความที่วิเคราะห์ในบริษัทของโบรคเกอร์ จะสนใจข้อมูลที่นักวิเคราะห์ให้มาจากที่ไปเยี่ยมบริษัท แต่จะมาคำนวณตามกระบวนการของตนเอง  เพื่อหามูลค่าที่แท้จริง โดยไม่ดูราคาเป้าหมายที่เขียนไว้ในบทวิเคราะห์
สุดท้ายรับฟังโบรคเกอร์ได้ แต่เราต้องคิดเอง


ปีที่ผ่านมา มีกิจการที่มีปัญหามาจากธรรมาภิบาลของผู้บริหาร เราต้องดูผู้บริหารซึ่งเป็นปัจจัยหลักให้คุณภาพของกิจการ
วิธีการดูผู้บริหารไม่ยาก เหมือนเราติดตามผู้บริหารนานๆ เราต้องรู้ว่าคนไหนดีหรือไม่ดี พยายามอย่าไปข้องเกี่ยวกับหุ้นที่มี
ผู้บริหารมีการใช้ข้อมูลinsider ซึ่งเราไม่สามารถสู้กับคนที่มีข้อมูลวงใน
ผมไปประชุมผู้ถือหุ้น ฟัง oppday ถึงแม้อยู่หาดใหญ่ก็สามารถสัมผัสผู้บริหารได้  six sense ไม่ค่อยพลาด เราสงสัยและก็พบว่าเป็นไปตามที่เราสงสัย

เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว เราจะต้องมีวินัยในการลงทุน
ถึงแม้หุ้นบริษัทนั้นดูเย้ายวน น่าเข้าไปลงทุน แต่ผิดหลักเกณฑ์การลงทุน
เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ ซื้อขายหุ้นบริษัทนั้น

 แต่ถ้าทนไม่ไหว ก็จะซื้อเล็กน้อย ไม่มีวันจะเข้าไปซื้อจนเป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตเด็ดขาด
เพราะว่าวันดีคืนดี มันอาจจะหายไปได้เลย


Portfolio หุ้นที่ถือมาก5-10ตัวแรก คิดเป็น 50-60%  และจะไม่ถือหุ้นแต่ละตัวเกิน 30% กรณีแย่สุดยังมีอีก 70%ไว้เพื่อแก้ไขได้
ก่อนหน้านี้ถือหุ้นไทยและต่างประเทศเกือบ 100 ตัว   ตอนนี้ถือหุ้นไทย 30กว่าตัวปลายๆ และหุ้นต่างประเทศอีก 20ตัว รวมแล้ว 50กว่าตัว
มีการซื้อหุ้นทุกวัน เพราะบางบริษัท สภาพคล่องน้อย เก็บหุ้นมาสี่เดือนยังไม่ครบเลย แต่ไม่ใช่เดย์เทรด เพราะซื้อแล้วถือ 2-3 ปี

 เหตุผลที่คุณโจเลือกหุ้นไทย 30กว่าตัว จากหุ้นทั้งหมด 700 กว่าตัว
เพราะหุ้นแต่ละตัวมีตัวเร่ง ทำให้แต่ละปีจะมีหุ้นที่สามารถทำผลตอบแทนที่ดี หมุนเวียนกันไปในแต่ละปี แต่ก็มีหุ้นขาดทุนที่ขายออกไป ประมาณ 6-7 ตัวในปีที่แล้ว แต่ถือในสัดส่วนที่น้อย
แต่หุ้นที่ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะยังมีผลประกอบการที่ดี ปริมาณซื้อขายในแต่ละวัน คิดเป็นสัดส่วนของพอร์ตน้อยมาก
เพราะซื้อแล้วถือยาวมากกว่าจะขายออกมา

สุดท้ายขอขอบคุณ รายการMoney Talk ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์
และ คุณ โจ ลูกอีสานที่มาให้ความรู้และแชร์ประสบการณ์ครับ

No comments:

Post a Comment