ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่แล้วดูเหมือนจะก่อให้เกิด “แรงกระเพื่อม”
ในสังคมซึ่งส่งผลให้บริษัท ปตท.
ต้องปรับราคาน้ำมันลงเพื่อลดภาระให้แก่ผู้บริโภคจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานพอสมควรหลังจากที่ราคาน้ำมันตกต่ำลงมาหลายปีและเพิ่งจะปรับตัวกลับขึ้นมาในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา
แต่ในความคิดของผมเองนั้น
เหตุการณ์แบบนี้ก็จะผ่านไปโดยที่แทบไม่ได้มีอะไรที่กระทบกับพื้นฐานของบริษัทและหุ้นของปตท.
เหตุผลก็เพราะว่าราคาน้ำมันหรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือน้ำมันดิบนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา
ผมยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งราคาน้ำมันดิบเคยปรับตัวขึ้นไปถึงกว่า 100
ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งบาร์เรลและทุกคนก็บอกว่ามันจะขึ้นไปอีกมากเพราะว่าน้ำมันกำลังจะ
“หมดโลก” โดยยกทฤษฎี “Peak Oil” หรือ “ดอยน้ำมัน”
ซึ่งบอกว่าการผลิตน้ำมันนั้นผ่านจุดสูงสุดไปแล้วและกำลังลดลงเรื่อย ๆ
ในขณะที่การใช้ยังคงเพิ่มขึ้น มายืนยัน
แต่แล้วราคาน้ำมันกลับปรับตัวลงแรง เหตุผลก็เพราะว่ามีการค้นพบวิธีขุดหาน้ำมัน
Shale Oil
หรือการขุดน้ำมันใต้หินดินดานในสหรัฐอเมริกาที่สามารถขุดน้ำมันได้จำนวนมากอย่างรวดเร็วจนทำให้อเมริกาที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ของโลกสามารถมีน้ำมันพอใช้และในอนาคตก็จะกลายเป็นผู้ส่งออกแทน
นอกจากนั้น
การพัฒนาของรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะของบริษัทเทสล่าที่ได้รับการจองซื้ออย่างล้นหลามก็ทำให้คนเริ่มเชื่อว่าในอนาคตอีกไม่นาน
รถยนต์ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นรถไฟฟ้าซึ่งจะทำให้น้ำมันกลายเป็นพลังงานที่มีคนใช้น้อยลงเรื่อย
ๆ ผลก็คือ
ราคาน้ำมันตกลงมาแรงมากจนคนบอกว่าราคาน้ำมันนั้นจะไม่มีทางแพงขึ้นแบบเดิมอีกต่อไป
คนพูดกันว่าประเทศที่มีน้ำมันดิบสำรองมหาศาลอย่างซาอุดิอาระเบียจะต้องรีบขุดน้ำมันมาขายก่อนที่ในอนาคตมันจะไร้ค่าเพราะคนหันไปใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีต้นทุนการผลิตที่ลดลงเรื่อย
ๆ เป็นหลัก
เหตุผลที่ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสปรับตัวขึ้นจากราคา
ประมาณ 40 ดอลลาร์เศษ ๆ ต่อหนึ่งบาร์เรลเมื่อกลางปีที่แล้วกลายมาเป็นประมาณ 70
ดอลลาร์ในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น ผมไม่แน่ใจว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
คนพูดกันว่าเป็นเพราะผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่สามารถร่วมมือกันในการลดกำลังการผลิตลงได้สำเร็จ
บางคนก็บอกว่าเป็นเรื่องของภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้นทั่วโลกทำให้การใช้น้ำมันมากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนผมก็คิดว่ามันก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้
ประวัติศาสตร์บอกเราตลอดเวลาว่าเมื่อราคาน้ำมันขึ้นถึงจุดหนึ่งที่สูงมาก
มันก็จะถึงเวลาที่จะลง และเมื่อมันลงมาถึงจุดหนึ่ง ในที่สุดมันก็จะต้องขึ้น
ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือทำนายมันได้
เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจจะทำให้น้ำมันมีค่าน้อยลงและอาจจะไร้ค่าในที่สุดแต่มันก็คงจะใช้เวลาไม่น้อยน่าจะ
10-20 ปีขึ้นไป
แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็อาจจะช่วยให้การค้นหาน้ำมันมีราคาถูกลงมากจนทำให้คุ้มค่าที่จะขุดขึ้นมาขายและทำให้
Supply-Demand เปลี่ยนแปลงไปส่งผลต่อราคาน้ำมันและทำให้ราคาน้ำมันผันผวนไปเรื่อย ๆ
คาดการณ์ได้ยาก
ราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงมากและรวดเร็วนั้นส่งผลต่อราคาและดัชนีในตลาดหุ้นไทยที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่ที่ผลประกอบการอิงอยู่กับราคาน้ำมันไม่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี
หุ้นกลุ่มขนส่งและหุ้นผู้ผลิตขนาดใหญ่ที่ใช้พลังงานมาก เป็นต้น
ลองมาไล่ดูอย่างคร่าว ๆ ก็จะเป็นดังต่อไปนี้
กลุ่มแรกก็คือหุ้นผู้ผลิตหรือค้นหาน้ำมันหรือแก๊สธรรมชาติซึ่งอิงอยู่กับราคาน้ำมันซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ถูกกระทบโดยตรงที่สุด
โดยหุ้นที่โดดเด่นที่สุดก็คือหุ้น ปตท.สผ.
ที่จะได้ประโยชน์ชัดเจนเวลาราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น
เพราะผลผลิตที่ได้นั้นมีต้นทุนเท่าเดิมในขณะที่ราคาขายปรับตัวขึ้นมาก
ผลก็คือกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ในทางตรงกันข้าม ถ้าราคาน้ำมันลดลง
กำไรก็จะลดลง การที่จะ
“เล่นหุ้น”แบบนี้ก็จะต้องดูว่าทิศทางของราคาน้ำมันจะไปทางไหนประกอบกับราคาของหุ้นในขณะนั้น
การเข้าไปซื้อหุ้นในยามที่ราคาน้ำมันขึ้นไปสูงแล้วอาจจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีเพราะหลังจากนั้นราคาน้ำมันอาจจะลดลง
วิธีที่อาจจะดีกว่าก็คือซื้อเมื่อราคาน้ำมันตกต่ำมานานแล้ว “รอ”
และขายเมื่อราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูง
กลุ่มต่อมาคือกลุ่มผู้กลั่นน้ำมันหรือโรงกลั่น
นี่คือกลุ่มที่ถูกกระทบไม่มากในแง่ของพื้นฐานเนื่องจากพวกเขาหากินจากการแปรสภาพน้ำมันเพื่อผู้บริโภค
กำไรขาดทุนของพวกเขาอยู่ที่ “ค่าการกลั่น” ซึ่งไม่ได้ผันผวนตามราคาน้ำมันดิบ
อย่างไรก็ตาม
ตัวเลขผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้อาจจะดูดีขึ้นมากเมื่อราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น
เหตุผลก็เพราะว่าพวกเขามักจะได้ “Stock Gain”
หรือกำไรจากสต็อกน้ำมันในถังเก็บที่มีราคาเพิ่มขึ้น แต่นี่ก็จะเป็น
“กำไรครั้งเดียว” และถ้าในไตรมาศต่อไปราคาน้ำมันลดลง บริษัทก็จะ
“ขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน” ที่มีราคาลดลง ดังนั้น
การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มนี้ก็ต้องแยกแยะให้ได้ว่ากำไรหรือขาดทุนไม่ได้เกิดจากสต็อกเกนหรือล็อส
กลุ่มที่สามก็คือคนขายน้ำมันโดยเฉพาะก็คือปั๊มน้ำมัน
นี่ก็คือคนที่หากินจากการขายน้ำมันซึ่งกำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันที่ขายและ
“ค่าการตลาด” ที่คิดเป็นกี่บาทต่อการขายน้ำมันหนึ่งลิตรเป็นหลัก
ซึ่งค่าการตลาดนั้นก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันมากนักแม้ว่าจะมีส่วนอยู่บ้าง
ดังนั้น เวลาวิเคราะห์หุ้นที่ทำปั๊มน้ำมัน เราจะต้องดูว่าปั๊มนั้นขายได้ดีแค่ไหน
และที่สำคัญยิ่งกว่าในภาวะปัจจุบันก็อาจจะเป็นเรื่องของการขายอย่างอื่นในปั๊มเช่น
กาแฟ อาหาร
สินค้าสะดวกซื้ออื่นและอาจจะรวมถึงที่พักและร้านช็อปปิงสำหรับคนเดินทางด้วยก็ได้ในอนาคต
กลุ่มที่สี่ก็คือธุรกิจที่ใช้น้ำมันมาก ที่เห็นชัดเจนก็เช่น
ผู้ประกอบการขนส่งเช่น สายการบินและเดินเรือ
ซึ่งมักจะถูกกระทบค่อนข้างเร็วและแรง
เพราะต้นทุนของน้ำมันต่อต้นทุนอื่นค่อนข้างสูงอาจจะเป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์
และต้นทุนนี้มักจะไม่สามารถส่งต่อให้แก่ผู้ใช้บริการได้ทันที
ผลกระทบนั้นอาจจะรุนแรงในไตรมาศแรก ๆ ที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเร็ว
แต่หลังจากนั้นผลกระทบก็จะน้อยลง อย่างไรก็ตาม
ราคาน้ำมันที่สูงต่อเนื่องนั้นก็ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงและทำให้ความต้องการใช้น้อยลง
ในขณะที่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวลง
ผลดีที่ได้กับผู้ประกอบการนั้นมักจะไม่เท่ากับความเสียหายในช่วงขาขึ้น
นอกจากเรื่องของการขนส่งแล้ว กิจการที่ใช้พลังงานมาก ๆ
อื่นเช่นปูนซีเมนต์หรือเหล็กที่มักใช้ถ่านหินหรือก๊าสธรรมชาติก็อาจจะถูกกระทบทางอ้อมด้วยเนื่องจากราคาพลังงานเหล่านั้นก็มักจะอิงกับราคาน้ำมันในระดับหนึ่ง
ดังนั้น เมื่อน้ำมันขึ้นราคา ผลประกอบการของบริษัทก็มักจะไม่ดี
กิจการผลิตไฟฟ้าที่ต้องใช้พลังงานมหาศาลแต่มักจะเป็นก๊าสและถ่านหินนั้น
จะมีสัญญาที่รวมค่า FT
ซึ่งมีการปรับราคาขายไฟให้กับการไฟฟ้าตามราคาพลังงานด้วยนั้นผมคิดว่าไม่น่าจะถูกกระทบนัก
เพราะกิจการสามารถปรับราคาตามต้นทุนของพลังงานที่ใช้ได้รวดเร็วและค่อนข้างเต็มที่
ดังนั้น
ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้มักจะไม่น่ากังวลนักในยามที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ที่มีการกระจายสินค้าไปทั่วประเทศและต้องอาศัยรถขนส่งนั้น
อาจจะได้รับผลกระทบจากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตาม
ราคาน้ำมันไม่ได้เป็นต้นทุนที่สูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนค่าแรงและค่าเสื่อมราคารถ
นอกจากนั้น
น้ำมันที่มีราคาสูงขึ้นอาจจะก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อที่ทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น
ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการขายของผู้ค้าปลีกเพิ่มขึ้นที่จะสามารถชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันได้บางส่วน
ดังนั้น สำหรับผู้ค้าปลีกแล้ว
ราคาน้ำมันขึ้นอาจจะส่งผลกับผลประกอบการในระดับหนึ่งเท่านั้น
สุดท้ายก็คือเรื่องของคนที่ “เล่นน้ำมัน” โดยตรง
โดยเฉพาะคนที่เก็งกำไรว่าราคาจะขึ้นและไปซื้อฟิวเจอร์น้ำมันเอาไว้
การที่ราคาน้ำมันขึ้นรอบนี้ก็คงจะทำกำไรให้กับคนเล่นมหาศาลเนื่องจากนอกจากเปอร์เซ็นต์การขึ้นจะสูงและเร็วมากแล้ว
การ Leverage หรือการวาง “มัดจำ”
เงินที่ซื้อเพียงจำนวนน้อยก็ทำให้ผลตอบแทนถูกทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า อย่างไรก็ตาม
สำหรับคนที่ยังไม่ได้ซื้อ
การที่จะเข้าไปเล่นในตอนนี้ก็จะกลายเป็นความเสี่ยงมหาศาล
เพราะถ้าราคาน้ำมันไม่ขึ้นต่อแต่กลับลดลงอย่างรวดเร็ว
การเก็งกำไรก็อาจจะกลายเป็นหายนะได้ง่าย ๆ
No comments:
Post a Comment