Thursday, July 30, 2015

COOL!!!! Share by P'earthcu on 30 Jul 15

Share by P'earthcu on 30 Jul 15

http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=59041


เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงาน Meeting VI เหนือตอนล่าง ในวันที่ 19 กรกฎาคม 58 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ

1.ทัศนคติสำคัญที่สุดในการลงทุนและการควบคุมอารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญสำหรับการลงทุน โดยนักลงทุนต้องพิจารณาให้ได้ว่าบริษัทไหนดีหรือไม่ดีแล้วส่วนที่เหลือคือเรื่องการควบคุมอารมณ์
การที่เราดูข่าวมากจนเกินไปหรือเฝ้าหน้าจอเยอะอาจจะทำให้นายตลาดเป็นส่วนหนึ่งกับตัวเรา ซึ่งการที่แยกตัวเราออกจากนายตลาดนั้นเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าสามารถทำได้ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จ

2.การลงทุนนั้นสู้กันด้วยความคิด (เงินต้นนั้นอาจจะเป็นปัจจัยที่ไม่สำคัญเท่าความคิด) ไม่ได้วัดกันที่หน้าตาของนักลงทุน สมองใช้เพื่อคิดว่าบริษัทไหนดีไม่ดี ส่วนใจมีไว้เพื่อควบคุมอารมณ์
นอกจากการวัดกันที่ความคิดแล้วนั้น การลงทุนให้ประสบความสำเร็จนั้นวัดกันที่ความขยัน รวมไปถึง passion ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับหุ้น และรวมไปถึงการที่ต้องมีความคิดที่เป็นอิสระ โดยต้องพยายามไม่ให้ความคิดของคนอื่นมีอิทธิพลต่อตัวเรา

3.การลงทุนนั้นไม่มีทางลัด อย่าไปคิดว่าการลงทุนแค่ 1-2 ปีจะทำให้เรารวยได้ โดยทั่วไปแล้วจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในระดับหนึ่งถึงจะทำให้เราประสบความสำเร็จ เช่น 10 ปี 15 ปีขึ้นไป
สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นปั่นนั้น อาจจะเป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมความโลภของตัวเองได้ ทำให้ในบางครั้งตลาดอาจจะลงแค่ 10% แต่หุ้นปั่นบางตัวราคาอาจจะลงไปได้ถึง 70-80% ซึ่งอาจจะทำให้ขาดทุนอย่างหนักได้

4.Social media อาจจะทำให้เราไขว้เขวได้ ซึ่งการที่เราเล่น line หรือ facebook เยอะเกินไปทำให้เราอาจจะไขว้เขวรวมไปถึงเสียเวลาแทนที่จะไปใช้เวลานั้นในการศึกษาความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน

5.Question อยากให้ช่วยแนะนำการควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจในช่วงตอนนี้
Ans. จริงๆแล้วไม่ควรใช้เฉพาะตอนนี้แต่ควรที่จะใช้ทั้งชีวิต สำหรับการควบคุมอารมณ์นั้น อย่ากลัวเกินไป อย่าโลภมากเกินไป พยายามยึดติดกับเหตุและผล ลงทุนหุ้นระยะยาว ซื้อหุ้นเหมือนซื้อบริษัท มีส่วนร่วมกับกำไรบริษัทมีส่วนร่วมกับปันผลของบริษัท ราคาหุ้นที่ขึ้นลงอาจจะทำให้ใจของเราไขว้เขว การผันผวนนั้นอาจะผันผวนเฉพาะราคาของหุ้น แต่มูลค่าหุ้นไม่ได้ผันผวนขนาดนั้น ซึ่งจะทำให้เรามีความกล้าในการถือหุ้นของบริษัท

6.พึงระวังการกู้เงินหรือการใช้ leverage คนที่เก่งมากมายก็เจ๊งเพราะการกู้เงินหรือการใช้ margin
ในบางครั้งเราอาจจะเห็นนักลงทุนบางท่านที่ success เพราะการใช้ margin ในการลงทุน แต่ในขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนหลายท่านที่เจ๊งจากการใช้ margin เพราะคนที่ success ก็เสียงดังในขณะที่คนที่เจ๊งแทบจะไม่มีคนมาพูด ซึ่งทำให้อาจจะเกิดการสร้างแนวคิดหรือค่านิยมที่ผิดๆได้
นอกจากการลงทุนโดยใช้ margin แล้วนั้นพึงระวังการถือหุ้นเพียงบริษัทเดียวด้วยเพราะถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมากับบริษัทนั้นแล้วอาจจะทำให้เราเกิดการขาดทุนอย่างหนักได้ รวมไปถึงพยายามอย่าถัวเฉลี่ยหุ้น จนมีหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเกิน 50%ของ port (จัด Port ต้องมี limit position)

7.คนที่บอกว่าขายหุ้นก่อนวิกฤติแล้วค่อยไปซื้อตอนช่วงวิกฤตินั้นพูดได้แต่แทบไม่มีใครทำได้ แต่คนที่ซื้อหุ้นของบริษัทที่เติบโตแล้วถือหุ้นไปจนประสบความสำเร็จมีฐานะร่ำรวยนั้นมีจริง ซึ่งเราต้องพยายามฟันฝ่ากับรอยดงเท้าต่างๆไม่ว่าจะเป็นวิกฤติ sub prime หรือต้มยำกุ้ง แม้กระทั่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่าง Warren Buffet นั้นกว่าจะมีวันนี้ได้นั้นหุ้นของบริษัท Berkshire ก็ลดลงต่ำกว่า 40-50% อยู่หลายครั้งกว่าจะมีวันนี้ได้

8.หลักการ VI
8.1หุ้นคือธุรกิจ (ซื้อหุ้นของบริษัทเหมือนเราทำธุรกิจ)
8.2สามารถประเมินมูลค่าบริษัทได้
8.3ซื้อหุ้นเมื่อมี Margin Of Safety (ถ้าเป็นไปได้อย่างน้อย 30%)
8.4พยายามแยกตัวเองออกจากความผันผวนของตลาด

9.การลงทุนดีไม่ดีส่วนหนึ่งนั้นขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่เราซื้อ เช่นหุ้น growth stock แต่ถ้าซื้อในระดับราคาหุ้นที่สูงจนเกินไปเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัทก็อาจจะทำให้เป็นการลงทุนที่ไม่ดีได้

10.ไม่จำเป็นที่ต้องซื้อหุ้นหรือถือหุ้นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งนักลงทุนอย่าง Peter Lynch เองนั้นก็จะซื้อหรือถือหุ้นเมื่อมีความมั่นใจมากๆเท่านั้น ซึ่งข้อดีของหุ้นคือถ้าธุรกิจไม่ดีเราสามารถขายหุ้นบริษัททิ้งได้ในขณะที่ผู้ประกอบกิจการนั้นอาจจะทำไม่ได้

11.อย่ามีอคติ อย่าผูกพัน อย่ามีความรักต่อหุ้น พยายามใช้เหตุผล logic ในการลงทุนล้วนๆ
พยายามยึดติดกับ upside ของหุ้นที่เราคำนวณได้ ซึ่งอาจจะช่วยเราในการป้องกันการนั่งลงเลยป้าย (ถือหุ้นของบริษัทจาก% กำไรมากจนไม่กำไรหรือในบางครั้งขาดทุนได้)

12.การดูบริษัทในกลุ่ม leasing นั้นสิ่งแรกที่ดูคือ D/E ratio (อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน) ดูก่อนว่าถึง ceiling แล้วหรือยัง เช่นโดยทั่วไป bank D/E ratio สูงสุด 10-12 เท่า Leasing ที่ Bank backup D/E 5-6 เท่า Leasing ทั่วไป D/E อาจจะได้สูงสุดที่ 3 เท่า เพราะถ้า D/E Ratio สูงถึง Ceiling แล้ว โอกาสที่จะกำไรเติบโตมากนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เนื่องจากบริษัทเองจะกู้เงินเพิ่มเพื่อนำไปปล่อยกู้เพิ่มนั้นเป็นไปได้ค่อนข้างยาก

13.วิธีประเมินมูลค่าหุ้น
ร้อยละ 90 ดู P/E Ratio
หลักการให้ P/E ของบริษัท
ถ้า Growth ของบริษัทสูง เช่นกำไรเติบโต 30% , P/E 15 เท่าก็ถือว่าราคาหุ้นของบริษัทไม่แพง ซึ่งถ้าเมื่อไรเจอหุ้นของบริษัทที่ Growth 30% ในขณะที่ P/E 10 เท่าต้องตีแตกเท่านั้น
ของดี (หุ้นบริษัทที่ดี มี Growth สูง) P/E สามารถสูงได้หน่อย
ในกรณีที่ของไม่ดี มีตำหนิ (เช่นบริษัทผู้บริหารอาจจะมีเครื่องหมายคำถาม) ต้องมี Discount ของ P/E ลงมาหน่อย
พยายามทำเรื่องยาก เช่นการประเมินมูลค่าหุ้นโดย DCF (Discount Cash Flow) ให้เป็นเรื่องง่าย P/E Ratio แทน

14.กลยุทธ์การลงทุน กรณีเงินต้นน้อยๆ
ขออนุญาตนำบทความเก่าใน web thaivi มาสื่อสารเพื่อนๆอีกทีครับ จาก viewtopic.php?f=35&t=26058

กลยุทธ์การลงทุน กรณีเริ่มต้นเงินทุนน้อยๆ
ผมมองผ่านภาพใหญ่ 2 ประเด็นคือ

1.ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด
2.ต้องทำให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนมากที่สุด

ประเด็นแรก ควรจะเพิ่มเงินลงทุนให้มากที่สุด สามารถแยกเป็นภาพย่อยๆได้อีกคือ

1.1 ควรเพิ่มรายได้ เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุด
1.2 ลดรายจ่ายให้มากที่สุด เพื่อเพิ่มเงินออม ที่จะนำมาลงทุน


1.1 เพิ่มรายได้ ผมมองในแง่คนทั่วไปที่ทำงานกินเงินเดือนไม่สูงมาก การเพิ่มรายได้สามารถทำได้โดยการหารายได้เสริม การย้ายงานใหม่ การเพิ่มความรู้เพื่อเพิ่มค่าจ้าง การแต่งงานที่คู่ชีวิตมีรายได้ด้วย (ถ้าโชคดีได้แฟนรวยจะดีมาก ) การหยิบยืมเงินจากพ่อแม่หรือญาติในระดับที่หากเสียหายก็ไม่ทำให้เดือนร้อนมาก ที่สำคัญไม่ควรกู้เงินที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเพื่อมาลงทุน เพราะจะมีแรงกดดันจากที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยตลอดเวลา

1.2 การลดรายจ่าย รายจ่ายที่หนักที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่คือการผ่อนรถ-ผ่อนบ้าน คุณสุวภา ผู้เขียนหนังสือ show me the money เคยพูดไว้ว่าตัวอย่างการใช้เงินที่เลวที่สุดของหนุ่มสาวที่กำลังสร้างอนาคตคือการซื้อรถ แต่ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันพอสมควร หลายท่านอาจจะบอกว่าทั้งบ้านและรถเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ หรือต้องใช้ประกอบการทำงาน ซึ่งผมก็เห็นด้วยในบางประเด็น แต่ถ้ามองรอบด้าน เราอาจจะพบว่ามีทางเลือกอื่นๆอีก ที่ทำให้สามารถประหยัดรายจ่ายส่วนนี้ได้ เช่น

-แทนที่จะผ่อนบ้าน เราอาจจะอดทนอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อนที่สนิท หรือแม้แต่การเช่าบ้านที่ค่าเช่าไม่สูงมาก เหล่านี้แม้จะไม่สะดวกสบายเท่า แต่สามารถประหยัดทั้งดอกเบี้ยผ่อนและยังสามารถนำเงินต้นไปหาดอกผลจากการลงทุน

-แทนที่จะผ่อนรถ เสียทั้งเงินต้นและดอกและยังมีค่าใช้จ่ายน้ำมัน ทางด่วน ซ่อมแซม ค่าประกัน เหล่านี้เป็นเงินจำนวนมากที่เราคาดไม่ถึง เราอาจจะใช้บริการขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟฟ้า รถแท็กซี่ หรือกระทั่งซื้อรถมือสองที่ราคาถูกกว่ามาก หรือหากยังมีค่าใช้จ่ายสูง ก็อาจจะต้องเปลี่ยนงาน หรือย้ายบ้าน ย้ายที่พักซะเลย ให้ที่ทำงานกับที่พักอยู่ใกล้ๆกันเพื่อประหยัดค่าเดินทาง

รายจ่ายอื่นๆที่พอจะประหยัดได้เช่น ค่าใช้จ่ายโทรศัพท์มือถือ ที่เราต้องจ่ายทุกเดือน ถ้าคิดเป็นรายจ่ายทั้งปีเราอาจจะตกใจ ทางเลือกคือ เราอาจะโทรน้อยลง หรือไม่โทรเลย (ไม่โทรไม่ตายซักหน่อย )เปลี่ยนเครื่องนานๆครั้ง ใช้เครื่องถูกๆ

ข้างต้นที่เขียนมาคงทำได้ไม่ง่ายครับ เพราะรายจ่ายเหล่านี้ คนปกติทั่วไปในสังคมเค้าทำกัน เรียกว่าบินก่อน ผ่อนทีหลัง เอาสบายไว้ก่อน เรื่องอืนค่อยว่ากัน แต่หากเราต้องการที่จะแตกต่างจากคนอืนๆ(อยากรวย :lol: ) เราควรจะทำให้ได้ อาจจะในรูปแบบหรือวิธีที่ต่างกันออกไปตามฐานะ ความจำเป็นของแต่ละคน

ประเด็นที่สอง ทำอย่างไรให้เงินลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด

ประเด็นนี้เชื่อว่านักลงทุนทุกคนต่างต้องการ และยิ่งหากมีเงินลงทุนไม่มาก การทำผลตอบแทนให้สูงๆยิ่งมีความสำคัญ การมีเงินลงทุนน้อยๆและทำผลตอบแทนในระดับปกติ เช่น 10-15% ต่อปี กว่าที่เงินลงทุนจะเติบโตสมมุติ 1 เท่าตัว อาจใช้เวลา 5-6 ปี ซึ่งอาจจะน่าพอใจหากเปรียบเทียบกับผลตอบแทนกับเงินฝาก แต่อาจจะน้อยไปเมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ในการศึกษาการลงทุน นอกจากนั้นแม้เงินทุนจะเพิ่มขึ้นมาระดับนี้ แต่ด้วยเงินเริ่มต้นที่น้อย กำไรที่ทำได้ก็น้อยไปด้วย และสุดท้ายจะพาลทำให้นักลงทุนหมดกำลังใจ เพราะดูเหมือนการลงทุนอย่างนี้ทำให้รวยช้า อาจหันเหไปเก็งกำไร หรือไปเสี่ยงโชคกับการธุรกิจอื่นๆ ที่เห็นว่าจะทำให้รวยเร็วกว่า

การเพิ่มเทคนิค กลยุทธ์เพียงเล็กๆน้อยๆ สำหรับพอร์ตการลงทุนเล็กๆ อาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างน่าพอใจ ที่จริงกลยุทธิ์เหล่านี้เพื่อนๆหลายท่านก็ทราบกันดีจากที่โพสต์มา แต่หากนำมาเรียบเรียงรวมกันเป็นหมวดหมู่ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆได้พิจารณาเป็นทางเลือกใหม่ครับ


กลยุทธ์ที่ผมพอจะคิดออก หรือท่านใดจะเสริม มีดังนี้ครับ

1.การทำการบ้าน(หุ้น) ไม่แน่ใจว่าเป็นกลยุทธ์หรือเปล่า แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นการแปรเปลี่ยนจุดอ่อนให้เป็นพลัง-เป็นแรงบันดาลใจที่ชัดเจนที่สุด ยิ่งหากเราพอร์ตเล็กเท่าไหร่ เราก็ควรจะทำการบ้าน ศึกษาหาข้อมูลหุ้นให้มากขึ้นเท่านั้น มีเพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เราควบคุมได้โดยตรง ทำให้ทุกเวลา ทุกนาที โดยไม่ขึ้นอยู่กับคนอื่น หากเราไม่มีความรู้ที่จะหาหุ้น ไม่มีความรู้ด้านบัญชี ด้านการเงิน วิธีทีดีที่สุด ก็คือต้องไปเรียน หาหนังสือมาอ่าน หากไม่มีเวลา ไม่ค่อยมีเงิน ผมแนะนำให้ลงเรียนที่ม.รามคำแหง บัญชีเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียน ซื้อหนังสือซื้อชีทมาอ่าน ก็เข้าใจได้ครับ

2.ไปหาปลาตรงที่มีปลา เนื่องจากเราตั้งโจทย์ว่าเราต้องการผลตอบแทนสูงๆ ดังนั้นเราก็ต้องหาประเภทของหุ้นที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงๆ เสมือนไปหาปลาตรงที่ๆมีปลา ข้อสังเกตุของผมหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มักเป็นหุ้นขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หุ้นเหล่านี้แม้มีความเสี่ยงทางธุรกิจบ้าง แต่การเพิ่มยอดขายหรือผลกำไรจะทำใด้เร็วกว่าหุ้นมั่นคงขนาดใหญ่มาก ธุรกิจที่มีกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนั้นหุ้นเหล่านี้ไม่คอ่ยมีนักวิเคราะห์คอยติดตาม ทำให้โอกาสที่จะเจอหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นมีสูง

หลักทรัพย์บางประเภทเช่นวอร์แรนต์ที่นักลงทุนมักหลีกเลี่ยงเพราะมีความเสี่ยงสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงวอร์แรนต์เหล่านี้ในอนาคตก็คือหุ้นสามัญนั่นเอง ดังนั้นเราควรใช้บรรทัดฐานในการประเมินมูลค่าวอร์แรนต์ในทำนองเดียวกับที่เราประเมินมูลค่าหุ้น หากมูลค่าวอร์แรนต์ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น ก็ไม่มีเหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนในวอร์แรนต์ และที่จริงการลงทุนในวอร์แรนต์โดยปกติจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นสามัญ เพราะคุณสมบัติจากอัตราทวีผลหรือ Gearing นั่นเอง นักลงทุนที่แสวงหากำไรสูงๆ ไม่ควรมองข้ามการลงทุนในวอร์แรนต์ครับ

3. มองหาตัวเร่งเร้า(ที่รุนแรง) หมายถึงมองหาปัจจัยที่จะเร่งให้กำไรของกิจการเพิ่มสูงขึ้นมาก ซึ่งจะหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นมากด้วย ตัวเร่งในที่นี้อาจจะเป็นอะไรก็ตาม ที่จะทำให้กำไรของกิจการเพิ่มขึ้นทั้งโดยตัวพื้นฐาน เช่น การขยาย ปรับปรุงกำลังการผลิต การขยายตลาด รวมถึงการเจริญเติบโตปกติของกิจการ การกลับตัวของดีมาน-ซัพพลายของอุตสาหกรรม การซื้อกิจการ การเพิ่มปันผล กำไรพิเศษ นอกจากนั้นยังอาจเป็นตัวเร่งทางปัจจัยจิตวิทยา เช่น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหาร การแตกหุ้น การแจกวอร์แรนต์

หากเปรียบเทียบการลงทุนในหุ้น 2 ตัว ที่มีปัจจัยทางด้านอื่นๆเหมือนๆกันหรือคุณภาพพอๆกัน หุ้นตัวที่มีตัวเร่ง มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

4.เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด เพราะการที่พอร์ตการลงทุนจะโตมากๆ ต้องอาศัยการทบต้นหรือการนำกำไรไปลงทุนต่อ ดังนั้นในปีหลังๆพอร์ตการลงทุนจะเพิ่มขึ้นเร็วมากเพราะเงินต้นมากกว่า แม้จะทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม การลงทุนให้เร็วที่สุด จะทำให้เราไปถึงจุดที่เงินลงทุนออกดอกออกผลได้เร็ว นอกจากนั้น การที่เราเริ่มลงทุนเร็ว เท่ากับว่าเราได้เริ่มเรียนรู้เร็วไปด้วย ซึ่งความรู้จะพอกพูนไปตามวันเวลา และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น

เคยมีผลการวิจัยศึกษา พบว่านักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินเท่าๆกัน ทำผลตอบแทนได้เท่าๆกัน ต่างกันตรงที่เริ่มลงทุนห่างกันหลายปี เมื่อเวลาผ่านไป ผลตอบแทนของทั้งสองคนจะห่างออกจากกันมากขึ้น เสมือนเส้น 2 เส้นที่ลากออกจากจุดเดียวกัน เส้นทั้ง 2 ทำมุมกันเพียงเล็กน้อย ถ้าลากเส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ เส้นทั้งสองจะออกห่างกันมากขึ้นทุกที

5. ผู้บริหารในฝัน เพราะผู้บริหารที่ดีจะทำให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนมากกว่าปกติ ผู้บริหารที่นักลงทุนควรมองหาคือ มีความรู้ซึ้งในธุรกิจที่ทำ มีความซื่อสัตย์ มีความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูล มี passtion ในงานที่ทำ มีความกระหายที่จะทำให้บริษัทเติบโตและที่สำคัญต้องมองผลประโยชน์ในมุมมองเดียวกับผู้ถือหุ้นรายย่อย

ถ้าเจอผู้บริหารที่มีคุณสมบัติข้างต้น ช่วยสะกิดบอกผมด้วย เพราะนี่เป็นสัญญานที่ดีที่จะเจอหุ้นดีๆ การศึกษาปัจจัยพื้นฐานด้านอื่นๆประกอบเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่เราจะตัดสินใจลงทุนต่อไป

(เทคนิคไม่ยากที่เราอาจจะพบผู้บริหารอย่างนี้ สังเกตุจากบริษัทที่เข้าร่วมงาน oppurtunity day บ่อยๆ เพราะนั่นแสดงว่าผู้บริหารบริษัทเหล่านี้ กล้าที่จะเปิดเผยต่อนักลงทุนรายย่อย แสดงว่าผู้บริหารอาจจะมั่นใจว่าบริษัทดีจริง)

6. ถือหุ้นน้อยตัว หากเรามีเงินทุนน้อย การกระจายการถือหุ้นหลายๆตัว อาจทำให้เรารู้สึกปลอดภัยมากขึ้น แต่ผลตอบแทนที่ได้จะหักล้างกันทำให้ผลตอบแทนไม่สูงเท่าที่ควร การเลือกที่จะถือหุ้นน้อยตัวเช่น 2-5 ตัว จะทำให้เรามีความรอบคอบ พิถีพิถันที่จะเลือกถือหุ้นในกลุ่มที่ดีที่สุด ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด (ภายใต้ความเสี่ยงที่รับได้) และหากเราวิเคราะห์ได้ถูกต้อง ผลตอบแทนที่ได้รับจะคุ้มค่า

ตัวเลข 2-5 ตัวอาจจะปรับเปลี่ยนได้ตามระดับความมั่นใจในพื้นฐานของหุ้นที่เราจะลงทุน

7. คาดหวังผลลัพธ์ 100% เลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสได้กำไรสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับความเสี่ยง แม้หุ้นเหล่านี้อาจจะมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะศึกษาให้มากที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าในการลงทุนทุกอย่าง เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ หากเราลงทุนในหุ้นที่แพ้ เราจะแพ้ หากเราเลือกลงทุนในหุ้นที่มีโอกาสทั้งชนะและแพ้ เราจะมีโอกาสทั้งชนะและแพ้ ขึ้นอยู่กับว่าเราศึกษามากน้อยแค่ไหน และบางทีก็เป็น โชคชะตา..

8. Growth always better ถ้าหากหลายท่านจำกันได้ กระทู้ของคุณริวกะเมื่อไม่นานมานี้ TVI Index ที่จริงอาจจะมีเพื่อนๆเอะใจว่า คำตอบการลงทุนที่เราค้นหามานาน อาจจะซ่อนอยู่ในกระทู้ที่ว่านี้ก็ได้ คำตอบที่ผมหมายถึงคือหากเราดูผลตอบแทนย้อนหลังของหุ้นหลายๆตัวที่ทำกำไรสูงๆ ในกระทู้นั้น สิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ ทุกบริษัทเป็นหุ้นเติบโตสูงหรือ growth stock ทั้งสิ้น คำอธิบายแบบเรียบง่ายคือราคาหุ้นขึ้นอยู่กับกำไรที่กิจการทำได้ ถ้ากำไรเพิ่ม ราคาหุ้นก็เพิ่ม คนที่ถือไว้ก็ได้กำไร นักลงทุนทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน จะมีหุ้นเติบโตสูงอยู่ในพอร์ตเสมอๆ

...เวลาจะเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ หากเราลงทุนในหุ้นโกรท...
กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนเบี้ยน้อยหอยน้อย คงมีแค่นี้ครับเท่าที่คิดออก ถ้าเพื่อนๆมีความเห็นอื่นจะเสริมก็จะเป็นประโยชน์ครับ และที่ต้องขอย้ำคือกลยุทธ์ส่วนใหญ่ คงเหมาะสมกับนักลงทุนที่มีความรู้การลงทุนในระดับนึงแล้ว และจะไม่เหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ถ้าถามว่ากลยุทธ์ข้อไหนที่สำคัญและจำเป็นที่สุดคงเป็นข้อแรก ถ้าไม่มีข้อแรก ประเด็นอื่นๆก็จะไม่ตามมา


15.วิธีการหาข้อมูลในการลงทุน
1.)56-1 จะมีรายละเอียดคล่าวๆที่เกี่ยวข้องกับบริษัท
2.)รายงานประจำปี ซึ่งจะมีส่วนที่น่าสนใจมากอยู่ 2 ส่วน คือ 1.สารของประธานกรรมการ 2.รายงานการประชุม
3.)Opp day ซึ่งอาจจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายของบริษัท
โดยเราควรพยายามหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดเพื่อนำไปต่อ Jigsaw ให้เห็นภาพรวมของบริษัทจะได้สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องแม่นยำขึ้น

16.อะไรที่ดูดีเกินจริง มักจะแย่
ยกตัวอย่างเช่นการที่บางบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์นั้น มี net margin โดยเฉลี่ยสูงกว่า net margin ในอดีตโดยเฉลี่ย 2-3 เท่านั้น เช่นจาก 5% เป็น 15%-20% ก็มีความเสี่ยงที่บริษัทจะกำไรลดลงมามากๆได้ ถ้า net margin ของบริษัทกลับเข้าสู่สภาวะเหมือนในอดีต ซึ่งจะส่งผลทำให้ราคาของหุ้นลดลงมามากๆได้

17.เล่นในเกมที่เราได้เปรียบ อย่าไปเล่นในเกมที่เราเสียเปรียบ
จุดแข็งของรายย่อย 1.เราถือหุ้นโดยที่ไม่ต้องรายงานใคร 2.เราถือหุ้นยาวแค่ไหนก็ได้

18.คนที่มีความศรัทธาเท่านั้น จึงทำให้มาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้ ยกตัวอย่างเช่น อ.เฉลิมชัย ท่านมี passion มีความศรัทธา จึงทำให้ประสบความสำเร็จ
จะทำการใหญ่นั้นจะมีใจปลาซิวไม่ได้ ซึ่งอยู่ที่ใครจะเค้นศักยภาพออกมาได้หรือเปล่า
เชื่อในแนวทางที่ประสบความสำเร็จเช่น Warren buffet, Bengamin Graham, อ.นิเวศน์ ทุกวันจะดีขึ้นเสมอ ซึ่ง port ของเราจะใหญ่ขึ้นตามความรู้การลงทุนที่มากขึ้น

19.บทกวีให้กำลังใจของพี่โจ ในช่วงที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ เผื่อช่วยให้กำลังใจเพื่อนๆนักลงทุนทุกท่านครับ

เมื่อเริ่มสู้นั้น มันมืดยิ่งกว่ามืด…
ครั้นยืนหยัดยาวยืด มืดค่อยหาย…
พอมองเห็นลางลาง อยู่ทางปลาย…
ชัยชนะ ขั้นสุดท้าย ไม่เกินรอ…



ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากร (พี่โจ ลูกอีสาน) ได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ

สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณพี่ simpleBe ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ
ขอขอบคุณพี่โจ ลูกอีสานที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆมาโดยตลอด
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆสำหรับเพื่อนๆนักลงทุน VI เหนือตอนล่างทุกท่าน
ขอขอบคุณ web Thaivi ที่เป็นคลังแห่งความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ


ขอบคุณครับ
earthcu /30 Jul 15

No comments:

Post a Comment