ทีดีอาร์ไอเตือนรับมือสังคมสูงอายุ ชี้เกิดเต็มรูปแบบปี
2568-เร็วสุดในเอเชีย
นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ได้เสนอรายงาน เรื่อง "สู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพ :
ความท้าทายละโอกาสของประเทศไทยในสามทศวรรษหน้า " ในงานสัมมนาวิชาการประจำปี 2557
โดยเสนอให้รัฐเร่งหามาตรการรับสังคมสูงอายุ มีประเด็นดังนี้
สหประชาชาติได้พยากรณ์ไว้ว่าในสภาพสถานการณ์อัตราการเจริญพันธุ์ระดับปานกลาง
ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ในช่วงประมาณปี 2025 เมื่อประชากร 20%
กลายเป็นประชากรสูงอายุ (มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) และในปี ค.ศ. 2045
ประเทศไทยจะมีคนสูงอายุถึง 36% หรือมากกว่าหนึ่งในสามของประชากร
เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียแล้ว ไทยจะเข้าสู่สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์เร็วกว่าหลายประเทศ
ยกเว้นเฉพาะบางประเทศเช่น ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
ซึ่งล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้วที่เข้าสู่สังคมสูงอายุเร็วกว่าประเทศไทย โดยไทยจะมีจำนวนประชากรที่มีอายุ
65 ปีขึ้นไปเท่ากับจำนวนประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีลงมาในปี ค.ศ. 2025
ในขณะที่จีนจะเข้าสู่จุดดังกล่าวในปี ค.ศ. 2030 เวียดนามในปี ค.ศ. 2040
มาเลเซียในปี ค.ศ. 2050
ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียจะยังไม่เข้าสู่จุดดังกล่าวก่อนปี ค.ศ. 2050
หรือเข้าสู่สังคมสูงอายุช้ากว่าไทยเกือบ 3 ทศวรรษ
การที่อัตราการเกิดของประชากรไทยลดลงยังมีผลทำให้จำนวนประชากรไทยในปี ค.ศ. 2045
ลดลงเหลือ เพียง 63.8 ล้านคน ซึ่งจะทำให้ไทยประสบกับสภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง
นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็ว
ยังจะส่งผลทำให้ฐานะทางการเงินของกองทุนประกันสังคมมีปัญหาจนถึงขั้นล้มละลายในประมาณปี
ค.ศ. 2045 หากไม่มีการปฏิรูประบบประกันสังคมอย่างทันกาล
ซึ่งจะก่อให้เกิดภาระทางการคลังอย่างมาก
เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลจะเพิ่มขึ้นมาก
ในขณะที่คนวัยทำงานซึ่งจะเป็นผู้จ่ายภาษีมีจำนวนที่ลดลง
การเข้าสู่สังคมสูงอายุจะทำให้ประเทศไทยประสบกับปัญหาต่างๆ
ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านลบต่อคนไทยเป็นอย่างมาก
หากประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจจนมีรายได้พ้นระดับรายได้ปานกลาง
หรือที่เรียกกันว่า “ติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง” เพราะเราจะกลายเป็นประเทศที่
“แก่ก่อนรวย” และ “แก่โดยยังไม่มีระบบสวัสดิการสังคมรองรับอย่างเพียงพอ”
นายสมเกียรติ กล่าวว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วที่สุดในทวีปเอเชีย
โดยคาดว่าจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบในปี 2568 และในปี 2588
จะมีประชากรผู้สูงอายุเป็น 36% ของประชากรทั้งหมด
"ในอนาคตเราจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ
และเร็วกว่าเพื่อนบ้านในเอเชีย ตามหลังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ แต่ข้อแตกต่างคือทั้ง 2
ประเทศพวกเขารวยก่อนจะแก่ แต่ประเทศไทยเรายังติดกับดักรายได้ปานกลาง
และทำให้พวกเราจะแก่ก่อนที่จะรวยได้"
นายสมเกียรติ กล่าวว่าเพื่อให้เห็นถึงโฉมหน้าของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
และความท้าทายต่างๆ จึงประเมินว่าภาพสถานการณ์ที่เป็นไปได้ (possible scenario) ใน
3 ทศวรรษหน้า 3 สถานการณ์คือ
1. “ประเทศไทยไปเรื่อยๆ”
2. “ประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้า”
3. “ประเทศเกษตรทันสมัยและบริการฐานความรู้”
จากการศึกษาพบว่าหากประเทศไทยเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในอีก 30 ปีข้าวหน้า
หรือในปี 2587 เราจะมีรายได้ต่อหัวที่ 17,016 ดอลลาร์ อัตราการเติบโตเฉลี่ย 3.55%
ต่อปี เราจะก้าวผ่านกับดักรายได้ปานกลางในปี 2579
หลังจากที่เราเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ แรงงานในระบบคิดเป็น 60% ทั้งหมด
เราจะมีสัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากอุตสาหกรรม 49.8% บริการ 45.8% เกษตร 4.4%
อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
เข้ามาอาจทำให้ไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลางช้าลง
โดยหากมีภาระการคลังจากการรักษาพยาบาลจะล่าช้าออกไป 2 ปี
มีต้นทุนจากนโยบายประชานิยมปีละ 1 แสนล้านบาทจะล่าช้าไป 4 ปี
มีวิกฤติสถาบันการเงินจะล่าช้าไป 4
ปีและหากมีปัญหาการเมืองจะช้าแบบประมาณการไม่ได้
ชี้2ทางเลือกดันไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ทางเลือกของไทย มี 2 ทางคือ 1.
เป็นประเทศอุตสาหกรรมก้าวหน้าโดยพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐาน
พัฒนาวิศวกรและช่างเทคนิคเน้นทักษะเฉพาะคุณภาพสูง
จูงใจให้เอกชนพัฒนาและวิจัยมากขึ้น
แต่สิ่งที่ไม่ควรทำคือการดึงดูดแรงงานจากต่างประเทศที่ไร้ทักษะมาทำงานในไทย
ซึ่งหากสามารถทำได้จะทำให้ใน 30 ปีข้างหน้าเราจะมีรายได้ 23,736 ดอลลาร์ต่อคน
อัตราการเติบโตที่ 4.59 % จะพ้นกับดักรายได้ปานกลางในปี 2571
ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งนั้นคือการพัฒนาสังคมไปยังเกษตรทันสมัยและบริการฐานความรู้
โดยให้ภาคการเกษตรส่วนใหญ่ปรับเปลี่ยนสู่เกษตรทันสมัยใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่
และมีการพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืชโดยใช้เกษตรประณีต เช่น
อินทรีย์เป็นองค์ประกอบเสริมโดยสิ่งที่ควรทำคือการบริหารแหล่งน้ำให้มีประสิทธิภาพลงทุนพัฒนาและวิจัยพันธุ์พืช
แต่สิ่งที่ไม่ควรทำคือการอุดหนุนราคาสินค้าเกษตรในระดับสูงส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรขนาดใหญ่โดยนโยบายรัฐและระวังคอนแทคฟาร์มมิ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้ง
หากสามารถจะทำให้รายได้ใน 30 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 28,402
ดอลลาร์ต่อคนอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5.21% ต่อปี ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางอยู่ที่
2571
การเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคตที่พึงปรารถนาดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้สำเร็จก็ต่อเมื่อมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
4 ประการเกิดขึ้นคือ
ทุนมนุษย์ : ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนาทุนมนุษย์(human capital)
ให้มีคุณภาพสูง โจทย์สำคัญก็คือ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตก้าวหน้าต้องการทักษะเฉพาะ
แต่แรงงานไทยเปลี่ยนงานบ่อย ทำให้ไม่สามารถสะสมทักษะเฉพาะในระดับสูงได้
ในขณะเดียวกัน ภาคบริการฐานความรู้ต้องการทักษะทั่วไป
แต่ระบบการศึกษาของไทยตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงอุดมศึกษายังมีคุณภาพต่ำ
แนวทางที่เหมาะสมในการตอบรับความท้าทายดังกล่าวคือ
การพัฒนาให้ประชาชนไทยมีทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st century skill)
และส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องของประชาชน
เงินทุน:
การจัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจจะต้องจูงใจให้เกิดกิจกรรมที่เพิ่มผลิตภาพเช่น
การทำวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการสร้างนวัตกรรม
ซึ่งต้องการเงินทุนสนับสนุนในหลายรูปแบบทั้ง เงินให้เปล่า (grant) จากภาครัฐ
สินเชื่อ (credit) จากธนาคารพาณิชย์และเงินร่วมลงทุนเพื่อเริ่มกิจการ (venture
capital) จากนักลงทุน ทั้งนี้ตามระดับความเสี่ยงของกิจกรรม
การบริหารจัดการ:
การบริหารจัดการภาครัฐจะต้องเป็นไปเพื่อสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพ
โดยรัฐจะต้องมีขนาดไม่ใหญ่เกินไป และมีหน้าที่ที่เหมาะสมคือเสริมการทำงานของตลาด
มีวินัยทางการเงินการคลังและมีธรรมาภิบาล ซึ่งหมายถึง มีความโปร่งใส (transparency)
เปิดให้มีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ (participation) และมีความพร้อมรับผิด
(accountability) ซึ่งรวมถึงมีประสิทธิภาพในการให้บริการ
ตลาด: ประเทศไทยจำเป็นจะต้องพัฒนาไปสู่การเป็นประเทศแห่งการค้า (trading
nation) ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบเปิด (open economy) โดยเชื่อมโยงเข้ากับเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ การเชื่อมโยงดังกล่าวอาจเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
(AEC) ก่อน
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/politics/analysis/20141125/619592/%C2%B7%D5%B4%C3%95%C3%8D%C3%92%C3%83%C3%AC%C3%A4%C3%8D%C3%A0%C2%B5%C3%97%CD%B9%C3%83%D1%BA%C3%81%C3%97%C3%8D%C3%8A%D1%A7%C2%A4%C3%81%C3%8A%D9%A7%C3%8D%C3%92%C3%82%C3%98.html
No comments:
Post a Comment