Source: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1357629900&grpid=&catid=07&subcatid=0700
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงเกินจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 42,600 ล้านบาท จาก 52 โครงการครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมกว่า 57,000 ล้านบาท
สำหรับปี 2556 บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการรุกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีก โดยบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีก 45 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 61,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัดในสัดส่วน 70% : 30% และแบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 24 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 35,323 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 13 โครงการ มูลค่าประมาณ 22,504 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,723 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายรวมสำหรับปี 2556 ไว้ประมาณ 48,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ประมาณ 14%
ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจไว้อย่างชัดเจนและแข็งแกร่ง ภายใต้ 6 กุญแจสำคัญที่จะผลักดันสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบด้วย
Key Driven ที่ 1. การรุกตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่อง โดยใน 6 จังหวัด ได้แก่ หัวหิน, ภูเก็ต, เขาใหญ่, เชียงใหม่, พัทยา และขอนแก่น นอกจากนั้น ภายในปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าและรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอีก 6 จังหวัด 7 ทำเล ได้แก่ ระยอง, อุดรธานี, นครราชสีมา, มหาสารคาม, ศรีราชา, บางแสน และหาดใหญ่
Key Driver ที่ 2 ได้แก่ การจับตลาด niche ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีความเฉพาะตัวเพิ่มมากขึ้น เพื่อฉีกหนีจากการแข่งขันในตลาดเดิมๆ โดยเห็นได้จากความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา จากการเปิดตัวโครงการดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จสูงในการเจาะเข้าสู่ตลาดนี้เป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทได้วางแผนการพัฒนาโครงการในลักษณะนี้เพิ่มเติมขึ้นอีกในปีนี้
Key Driver ที่ 3 การวางเป้าเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นจากสัดส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยหรือมีครอบครัวเป็นคนไทยและกำลังมองหาที่อยู่อาศัย กลุ่มต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน หรือกลุ่มต่างชาติอาวุโสที่ต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับการพักผ่อน ภายหลังจากการเกษียณอายุงาน หรือ Retirement แล้ว รวมถึงกลุ่มต่างชาติที่ต้องการลงทุนทั้งจากในเอเชียด้วยกันหรือจากตะวันตก
Key Driver ที่ 4 การกลับมารุกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮน์เอนด์ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดที่มีความน่าสนใจ โดยในปีนี้บริษัทจะรุกพัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “นาราสิริ” อีกครั้ง เพื่อให้ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนมากยิ่งขึ้น
Key Driver ที่ 5 การขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากขึ้นอีก ด้วยแผนการพัฒนาบ้านเดี่ยวในระดับราคา3 ล้านบาทและทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 1.5 ล้านบาท ในทำเลที่ใกล้แหล่งงาน เช่น นิคมอุตสาหกรรมในทำเลปทุมธานี และวงแหวนกาญจนาภิเษก หรืออยู่ใกล้แหล่งเมืองเก่า เช่น ประชาอุทิศหรือสำโรงเป็นต้น
Key Driver ที่ 6 คือ แผนการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคาสให้มากยิ่งขึ้น โดยในช่วงกลางปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับการพัฒนาโครงการแนวสูง โดยเฉพาะแบรนด์ ดีคอนโด ภายใต้กำลังการผลิตที่ 42,000 ตารางเมตร/ปี หรือคิดเป็นประมาณ 10 ตึก/ปี รวมถึงโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้อีกด้วย
No comments:
Post a Comment