Wednesday, January 23, 2013

แล้วถ้า ผบห. ขายล่ะ มีผลแค่ไหนใน 3 เดือน

มีซื้อล่ะ ลองทำกรณี ผบห.ขายบ้าง

-----------------------------1----------------------------------

TRC / ไพจิตร / ขายเมื่อ 17Jan2013 / 28ล้านหุ้น / 1.36 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 3.3 - 3.8 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 3.5 - 5.5 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 4.5 - 6.2 บาท
(ขาย Big Lot ต่ำกว่าในกะดานมาก ๆ ๆ คงวัดผลไรไม่ได้)

------------------------------2---------------------------------

PS / รัตนา และอดุลย์ / ขายเมื่อ 28Jan2013 / 17.5ล้านหุ้น / 30 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 29 - 34 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 27 - 31 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 26 - 30 บาท
ค่อนข้างขายได้ราคา

-------------------------------3--------------------------------

VGI / คีรี / ขายเมื่อ 29Jan2013 / 4ล้านหุ้น / 103 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 105 - 118 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 110 - 125 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 112 - 118 บาท
ค่อนข้างขายหมูทีเดียว


--------------------------------4-------------------------------

SUSCO / พงศธร / ขายเมื่อ 30Jan2013 / 2.5ล้านหุ้น / 3.58 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 3.5 - 3.7 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 4.1 - 7.3 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 5.8 - 7.1 บาท
หมูเป็นเด้งเลยแฮะ

---------------------------------5------------------------------

CK / สมบัติ กิจจาลักษณ์ and สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ / ขายเมื่อ 4Feb2013 / 620,000หุ้น / 21 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 21 - 25 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 23 - 29 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 21 - 27 บาท
หมูอย่างแรง

----------------------------------6-----------------------------

BLA / ชัย โสภณพนิช and เรืองศักดิ์ ปัญญาบดีกุล/ ขายเมื่อ 5Feb2013 / 240,000หุ้น / 70 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 64 - 72 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 70 - 77 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 70 - 75 บาท
ขายได้ราคาทีเดียว เพราะขึ้นอีกแค่ 10% และหลังจากเดือนที่ 3 หุ้นตกไปต่ำสุด 55 เลยทีเดียว

-----------------------------------7----------------------------

WHA / จรีพร อนันตประยูร and สมยศ อนันตประยูร   / ขายเมื่อ 7Feb2013 / 40,000,000หุ้น / 46 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 43 - 52 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 39 - 49 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 40 - 50 บาท
ขายค่อนข้างโอเค ไม่หมู ไม่เสียราคาเท่าไหร่

------------------------------------ซ้ำ---------------------------

BLA / เชิดชู โสภณพนิช / ขายเมื่อ 6Feb2013 / 300,000หุ้น / 72 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 64 - 72 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 70 - 77 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 70 - 75 บาท
ขายได้ราคาทีเดียว เพราะขึ้นอีกแค่ 10% และหลังจากเดือนที่ 3 หุ้นตกไปต่ำสุด 55 เลยทีเดียว
-------------------------------------8--------------------------

NWR / พลพัฒ กรรณสูต / ขายเมื่อ 7Feb2013 / 2,000,000หุ้น / 2.72 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 2.6 - 3.4 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 4 - 5.7 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 3.8 - 4.3 บาท
หมูอย่างแรง


-----------------------------------9----------------------------

BMCL / วัลลภา, วิทูร, สุพงศ์ / ขายเมื่อ 8Feb2013 / 10,000,000หุ้น / 1.35 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 1.3 - 1.7 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 1.1 - 1.5 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 1.1 - 1.5 บาท
ขายค่อนข้างโอเค ไม่หมู ไม่เสียราคาเท่าไหร่

--------------------------------10-------------------------------

UEC / ไพบูลย์ เฉลิมทรัพยากร / ขายเมื่อ 21Feb2013 / 1,000,000หุ้น / 5.49 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 1  = 5 - 6 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 2  = 4.8 - 5.3 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดในเดือนที่ 3  = 4.9 - 5.5 บาท
ขายได้ราคาทีเดียว

---------------------------------------------------------------

Tuesday, January 22, 2013

ผบห.ซื้อหนัก มีผลกะราคาแค่ไหนใน 3 เดือน

กรณี ผบห.ซื้อหนักๆ มีผลกะราคาแค่ไหนใน 3 เดือน ลองทำ case study ดู

-----------------------------1-------------------------------------

CK / ปลิว / ซื้อเมื่อ 17Jan2013 / 1,000,000 หุ้น / 17 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

------------------------------2------------------------------------

AH / เย็บ ซู ซวน / ซื้อเมื่อ 17Jan2013 / 906,800 หุ้น / 22.56 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

-------------------------------3-----------------------------------

2S / สมบัติ ลี / ซื้อเมื่อ 18Jan2013 / 7,000,000 หุ้น / 2.46 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

--------------------------------ซ้ำ----------------------------------

AH / เย็บ ซู ซวน / ซื้อเมื่อ 21Jan2013 / 2,500,000 หุ้น / 23 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

-----------------------------------4-------------------------------

PF / ชายนิด / ซื้อเมื่อ 21Jan2013 / 10,000,000 หุ้น / 1.41 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

------------------------------------5------------------------------

PE / วิเชียร / ซื้อเมื่อ 28Jan2013 / 9,288,500 หุ้น / 1.09 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

--------------------------------6----------------------------------

BLA / เชิดชู โสภณพนิช / ซื้อเมื่อ 12Feb2013 / 330,000 หุ้น / 64.7 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

---------------------------------7---------------------------------

BH / สรดิษ วิญญรัตน์ / ซื้อเมื่อ 11Feb2013 / 150,000 หุ้น / 78 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

---------------------------------8---------------------------------

BGH / ธวัชวงค์ ธะนะสุมิต / ซื้อเมื่อ 15Feb2013 / 100,000 หุ้น / 150.5 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

---------------------------------9---------------------------------

AI / ธนิตย์ ธารีรัตนาวิบูลย์ and บุญเลิศ ขอเจริญพร / ซื้อเมื่อ 26Feb2013 / 355,000 หุ้น / 9.8 บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 1 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 2 เดือน = xx - xx บาท
ราคาสูงสุดและต่ำสุดใน 3 เดือน = xx - xx บาท

------------------------------------------------------------------

Tuesday, January 15, 2013

Case study กรณีลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสม

ขอยกตัวอย่างด้วย NUSA ซึ่งมีแผนลดทุนเพื่อล้างขาดทุนสะสมเมื่อ Q3'55 ที่ผ่านมา โดยมีข้อมูลจากงบเมื่อ Q3'55ตามนี้




ผลจากการลดทุน (และเพิ่มทุนด้วย) ทำให้หน้าตางบเปลี่ยนไปดังนี้




  • ลดทุนจาก 6,500 MB เป็น 4,293 MB ซึ่งไม่ใช่ส่วนที่ชำระแล้ว ก็ไม่สามารถนำเงินไปใช้อะไรได้
 
  • จากทุนชำระแล้ว 4,293 MB ลดด้วยอัตราส่วน 2.52 : 1 จะเหลือหุ้น = 4,293/2.52 = 1,703 MB
  •  
  • จะได้ตังค์ = 4,293 - 1,703 = 2,590 MB เอาไป หักส่วนต่ำกว่ามูลค่าหุ้นและขาดทุนสะสม
 
  • หลังจากหักออก จะเหลือตังค์ = 2,590 - 2,419 - 193 = -22 MB
 
  • แต่ 9 เดือนแรกของ 2555 ทำกำไรได้ 73 MB นำไปบวกในขาดทุนสะสม = 73 - 22 = ทำให้พลิกกลับมามีกำไรสะสม 51 MB นั่นเอง 
 
  • ภายหลังมีการเพิ่มทุนอีก 680 MB ทำให้มีหุ้นทั้งหมด = 1,703 + 680 = 2,383 MB



Monday, January 14, 2013

หุ้น AMEX เผื่อจะนำมาใช้กับ KTC ได้บ้าง

ลองดู หุ้นของ American express เผื่อจะนำมาใช้เปรียบเทียบกับ KTC ได้บ้าง


ปีที่แล้ว ราคาหุ้นอยู่ระหว่าง 48-60 เหรียญ เทียบเป็น Mkt Cap ก็อยูประมาณ 53-67 Billion US Dollar

ลองดูขนาดข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ บ้าง



จะพบว่า 
  • NPM Amex อยุ่ประมาณ 17% 
         (ถ้า KTC ทำได้ 17% จะได้ EPS = 7.5 bps เลยนะ โอวววววว เอาแค่ครึ่งก็พอแหละ)
 
  • Market cap เทียบกับ Revenue จะได้ = 53 B (ใช้ค่าน้อย for conser) / 29.4 B = 1.8 เท่า
         (ถ้าเป็น KTC ให้ Rev = 11,500 MB, Mkt Cap = 11,500 x 1.8 = 20,700 MB หรือ 80 bps O o")
 
  • Market cap เทียบ Total Dept จะได้ 53 B / 60.3 B = 0.88 เท่า 
          (ถ้าเป็น KTC, Total Dept = 40,000 MB, Mkt Cap = 40,000 x 0.88 = 35,200 MB หรือ 136 bps ไปกันใหญ่เลย 555)
 
 

ปล.1 แค่เทียบเล่น ๆ Business Model อาจต่างกัน อาจนำ Ratio ต่าง ๆ มาเทียบโดยตรงแบบนี้ไม่ได้

ปล.2 link ข้อมูล Amex มาจาก

http://finance.yahoo.com/q?s=AXP

http://finance.yahoo.com/q/ks?s=AXP+Key+Statistics 






เกณฑ์ของ SET100 / SET50

http://www.set.or.th/th/products/index/files/201207_SET50100_Selection_Criteria_TH.pdf

ย่อสั้น ๆ แบบเต็ม ๆ ดูตาม link
1. เป็นหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นสามัญจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 6 เดือน

2. อยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์มีขนาดใหญ่สูงสุด 200 อันดับแรก โดยพิจารณาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ย ต่อวันย้อนหลัง 3 เดือน สูงสุด 200 อันดับแรก

3. เป็นหลักทรัพย์ที่มีสัดส่วนผู้ถือหลักทรัพย์รายย่อย (Free-float) ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20

4. เป็นหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ
               4.1 มีมูลค่าการซื้อขายบนกระดานหลักสูงกว่า 50% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อหลักทรัพย์ของหลักทรัพย์ ประเภทหุ้นสามัญทั้งตลาดในเดือนเดียวกัน
               4.2 มูลค่าการซื้อขายตามข้อ 4.1 ต้องต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 9 ใน 12 เดือน (หรือไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 สำหรับ หุ้นสามัญที่เข้าซื้อขายน้อยกว่า 12 เดือน แต่ทั้งนี้ต้องไม่น้อยกว่า 6 เดือน)

5. หากมีหลักทรัพย์ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกข้างต้นน้อยกว่า 105 หลักทรัพย์ ให้ดำเนินการตามขั้นตอนตามลำดับ (see above link ล่ะกัน เพราะน่าจะเกิดได้ยาก)

6. หลักทรัพย์นั้นๆ จะต้องไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้
                6.1. เป็นหลักทรัพย์ที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์
                6.2. เป็นหลักทรัพย์ที่จะเพิกถอนตัวเองออกในระยะเวลาอันใกล้
                6.3. อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักการซื้อขาย (SP) เป็นระยะเวลานาน
                6.4. มีแนวโน้มที่จะถูกพักการซื้อขายเป็นระยะเวลานาน (เช่น 3 เดือน เนื่องจากไม่สามารถนำส่งงบการเงินได้ เป็นต้น)

7. นำหลักทรัพย์ที่ผ่านการคัดเลือกมาจัดลำดับตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ย โดยหลักทรัพย์ในอันดับที่ 1 - 50 จะใช้ในการคำนวณ SET50 Index (โดยมีอันดับที่ 51 - 55 เป็นรายชื่อสำรอง) และหลักทรัพย์ในอันดับที่ 1 - 100 จะใช้ในการคำนวณ SET100 Index (โดยมีอันดับที่ 101 - 105 เป็นรายชื่อสำรอง)

8. การทบทวนหลักทรัพย์จะกระทำทุก 6 เดือน ในช่วงเดือนมิถุนายน (สำหรับรายชื่อในครึ่งหลังของปี) โดยใช้ข้อมูล ตั้งแต่ 1 มิถุนายนปีก่อนหน้า ถึง 31 พฤษภาคมของปีที่ทำการคัดเลือก และช่วงเดือนธันวาคม (สำหรับรายชื่อใน ครึ่งแรกของปีถัดไป) โดยจะใช้ข้อมูลตั้งแต่ 1 ธันวาคมปีก่อนหน้า ถึง 30 พฤศจิกายนของปีที่ทำการคัดเลือก

------------------------------------------------------------------------------------------------------

updated รายชื่อหุ้น SET50 and SET100

http://www.set.or.th/th/market/constituents.html

Friday, January 11, 2013

การคิด fair value ของ warrant

ยกตัวอย่างด้วย siri-w1 



คำถาม: ถ้าตัวแม่ ราคา 5 บาท ตัวลูกจะมี fair value เท่าไหร่ ?

อัตราใช้สิทธิ 1:1.167 แปลว่า warrant 1 ตัว แลก หุ้นแม่ได้ 1.167 ตัว

นำหุ้นแม่ไปขายทันที จะได้ 1.167 x 5 = 5.835 baht

แต่ต้องจ่ายค่าใช้สิทธิก่อนด้วย นั่นคือ 1.114 บาทต่อหุ้นแม่ 1 ตัว

นั่นคือ หุ้นแม่ 1.167 ตัว ต้องใช้ค่าใช้สิทธิ = 1.167 x 1.114 = 1.33 baht

เพราะฉะนั้น จะเหลือตังค์จากดีลนี้ = 5.835 - 1.33 = 4.505 baht นั่นคือ fair value ของ warrant นั่นเอง เมื่อตัวแม่ มีราคา 5 บาท



Thursday, January 10, 2013

Big Lot ของ Intuch (as of Jan 10 '13)

ในวันที่ Vol สูงถึง 81,270 MB (Jan 10 '13)

ในจำนวนนี้ มีรายการ Big Lot ของหุ้น intuch อยู่ 330 ล้านหุ้น


โดยการขายครั้งนี้ที่ประมาณ 64 บาท (หลังจากขายมาก่อนหน้านี้ 2 ครั้งที่ 36 และ 40 บาท)
มีประเด็นที่น่าสนใจคือ (copy จากคุณหน้าผามังกร ห้อง intuch ThaiVI ร้อยคนร้อยหุ้น หน้า 45)

...... การขาย Big Lot คราวนี้ จำนวน 330 ล้านหุ้น ( 10% ) ทำให้ ซีด้าร์ โฮลดิ้งส์ เหลือหุ้นอยู่ประมาณ 13.6%
....... ผลจากการขาย Big Lot ทำให้การถือหุ้นมีการเปลี่ยนแปลง คือ
1 ) บริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ถือ 41.62 %
2 ) บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ถือเหลือ 13.6 %
....... โดยซีดาร์เป็นบริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นอยู่ 49 % และธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัทกุหลาบแก้วถือหุ้นในส่วนที่เหลือ 51 % ขณะที่แอสเปนเป็นบริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นแต่เพียงผู้เดียวทางอ้อม
........ ดังนั้น สัดส่วนผู้ถือครองหุ้นต่างชาติ จะคงเหลือ = 41.62 % + 6.8 % = 48.42 % ( ซีดาร์เป็นบริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นอยู่ 49 % ) 

 เพื่อเข้าถึงกฏเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 และ ประกาศ กสทช.ว่าด้วยเรื่อง การกำหนดข้อห้ามการกระทำที่มีลักษณะเป็นการครอบงำกิจการโดยคนต่างด้าว พ.ศ. 2554 ว่า
........ ซึ่งสิทธิ์การถือหุ้นนั้น " กำหนดให้ต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% "
......... ทั้งหมดนี้จึงเป็นการปลดล็อคการขยายธุรกิจของ Intuch ไปสู่กิจการต่างๆอย่างเสรีนั่นเอง ( เช่นประมูล TV Digital เป็นต้น )

      ก็ต้องติดตามต่อ ว่าสเตปต่อไปของ INTUCH จะมีการลงทุนอะไรใหม่ ๆ บ้างหรือเปล่า

สำหรับราคาหุ้นรับข่าววันนี้อย่างนี้ (-2.6%)

 

แต่อาจจะลบจากการปรับฐานของตลาดก็ได้ เพราะ set ลบ -17 จุด

Tuesday, January 8, 2013

NEWS: แสนสิริ เป้าปี56 เปิดใหม่ 45 โครงการ 6.1 หมื่นล้าน

Source: http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1357629900&grpid=&catid=07&subcatid=0700


นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสูงเกินจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ โดยบริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 42,600 ล้านบาท จาก 52 โครงการครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมกว่า 57,000 ล้านบาท

สำหรับปี 2556 บริษัทได้วางแผนการดำเนินธุรกิจ ด้วยการรุกพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อตอบรับทุกความต้องการที่อยู่อาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการสำหรับรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในตลาดต่างจังหวัด รวมถึงกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นมากขึ้นอีก โดยบริษัทจะเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีก 45 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 61,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าการพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัดในสัดส่วน 70% : 30% และแบ่งประเภทการพัฒนาโครงการเป็นที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมประมาณ 24 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 35,323 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวประมาณ 13 โครงการ มูลค่าประมาณ 22,504 ล้านบาท และโครงการทาวน์เฮาส์ประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,723 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขายรวมสำหรับปี 2556 ไว้ประมาณ 48,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ประมาณ 14%


ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจไว้อย่างชัดเจนและแข็งแกร่ง ภายใต้ 6 กุญแจสำคัญที่จะผลักดันสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบด้วย

Key Driven ที่ 1. การรุกตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่อง โดยใน 6 จังหวัด ได้แก่ หัวหิน, ภูเก็ต, เขาใหญ่, เชียงใหม่, พัทยา และขอนแก่น นอกจากนั้น ภายในปีนี้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อขยายฐานลูกค้าและรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในอีก 6 จังหวัด 7 ทำเล ได้แก่ ระยอง, อุดรธานี, นครราชสีมา, มหาสารคาม, ศรีราชา, บางแสน และหาดใหญ่ 

Key Driver ที่ 2 ได้แก่ การจับตลาด niche ซึ่งเป็นเซกเมนต์ที่มีความเฉพาะตัวเพิ่มมากขึ้น เพื่อฉีกหนีจากการแข่งขันในตลาดเดิมๆ โดยเห็นได้จากความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา จากการเปิดตัวโครงการดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งประสบความสำเร็จสูงในการเจาะเข้าสู่ตลาดนี้เป็นครั้งแรกในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทได้วางแผนการพัฒนาโครงการในลักษณะนี้เพิ่มเติมขึ้นอีกในปีนี้

Key Driver ที่ 3 การวางเป้าเพิ่มสัดส่วนในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้นจากสัดส่วนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาประกอบอาชีพในประเทศไทยหรือมีครอบครัวเป็นคนไทยและกำลังมองหาที่อยู่อาศัย กลุ่มต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง เพื่อใช้เป็นสถานที่พักผ่อน หรือกลุ่มต่างชาติอาวุโสที่ต้องการที่อยู่อาศัยสำหรับการพักผ่อน ภายหลังจากการเกษียณอายุงาน หรือ Retirement แล้ว รวมถึงกลุ่มต่างชาติที่ต้องการลงทุนทั้งจากในเอเชียด้วยกันหรือจากตะวันตก

Key Driver ที่ 4 การกลับมารุกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮน์เอนด์ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดที่มีความน่าสนใจ โดยในปีนี้บริษัทจะรุกพัฒนาบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ “นาราสิริ” อีกครั้ง เพื่อให้ครอบคลุมและตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนมากยิ่งขึ้น

Key Driver ที่ 5 การขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์มากขึ้นอีก ด้วยแผนการพัฒนาบ้านเดี่ยวในระดับราคา3 ล้านบาทและทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 1.5 ล้านบาท ในทำเลที่ใกล้แหล่งงาน เช่น นิคมอุตสาหกรรมในทำเลปทุมธานี และวงแหวนกาญจนาภิเษก หรืออยู่ใกล้แหล่งเมืองเก่า เช่น ประชาอุทิศหรือสำโรงเป็นต้น

Key Driver ที่ 6 คือ แผนการเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคาสให้มากยิ่งขึ้น โดยในช่วงกลางปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตสำหรับการพัฒนาโครงการแนวสูง โดยเฉพาะแบรนด์ ดีคอนโด ภายใต้กำลังการผลิตที่ 42,000 ตารางเมตร/ปี หรือคิดเป็นประมาณ 10 ตึก/ปี รวมถึงโครงการทาวน์เฮาส์ภายใต้แบรนด์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้อีกด้วย

Monday, January 7, 2013

Quote ตัวเลข ที่ ผบห KTC เคยให้ข่าวไว้

Quote คำพูดที่เกี่ยวกับตัวเลข ที่ ผบห KTC เคยให้ข่าวไว้ สำหรับตรวจสอบได้ง่าย


-------------------------------------------------------------------

สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- อังคารที่ 4 ธันวาคม 2555

  • บริษัทฯตั้งเป้ากำไรปีหน้า(2556)เติบโตไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของปีนี้(2555)
  • ส่วนรายได้ในปีหน้าก็คาดว่าจะเติบโต 10% จากปี 2555
  • บริษัทฯได้เตรียมงบการตลาดไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาทสำหรับปีหน้า
  • ปีนี้(2555)หลังจากที่บริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ ทำให้การบริหารจัดการต้นทุนลดได้ถึง 3%
  • โดยตัวเลข NPL ของบริษัทฯอยู่ในระดับ 2.77% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่มี 3.04%
  • น.ส.สุดาพร จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจสินเชื่อบุคคล KTC กล่าวว่า บริษัทฯตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อในปีหน้า(2556)ไว้ที่ 8% หรือคิดเป็น 14,000 ล้านบาท

----------------------------------------------------------------------

วันที่ 10 ธันวาคม 2555 01:00  โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

  • ในปี 2556 บริษัทอาจมีกำไรขยายตัวมากกว่า 1-2 เท่า
----------------------------------------------------------------------

ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2555 16:34:46 น.
  • ในไตรมาส 4/55 ก็คาดว่ากำไรจะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากรายได้จะสูงขึ้นราว 10%
  • ล่าสุดได้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 4% แล้ว และคาดว่าสิ้นปี 55 ยอด NPL จะปรับลดลงต่ำกว่า 4%
----------------------------------------------------------------------
พุธที่ 10 ตุลาคม 2012 -- กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน Financial - คอลัมน์ : การเงิน-ตลาดทุน
  • จากบริษัทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 40% จากระดับเดิมที่อยู่ในระดับสูงถึง 46%
  • โดยในแต่ละเดือนบริษัทสามารถลดเอ็นพีแอลเฉลี่ยได้ประมาณ 0.1-0.2%




Friday, January 4, 2013

NEWS: เปิดโมเดล พรบ 2 ล้านล้านบาท

Credit: http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=161903:--2-&catid=85:2009-02-08-11-22-45&Itemid=417

เปิดโมเดล พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทเดินหน้า 5 โครงการงบประมาณ 1.11 ล้านล้านบาทคาดร่างก.ม.บังคับใช้ได้ทันปีงบ 57 ตั้งเป้าชงเข้าครม.มกราคมนี้ ส่วนปี 56 คลัง เผยเม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาทเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐาน–บริหารจัดการน้ำ



สำหรับตัวอย่างของโครงการขนาดใหญ่ที่จะลงทุน 5 โครงการรวมวงเงิน 1.11ล้านล้านบาทได้แก่

            1. โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง (กทม.-โคราช, กทม.-หัวหิน, กทม.-เชียงใหม่, กทม.-ระยอง) มูลค่า 4.8 แสนล้านบาท
            2. โครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ มูลค่า 3.3 แสนล้านบาท
            3. โครงการทางหลวงสายวงแหวนรอบนอก กทม. รอบที่ 3 ระยะทาง 254 กม. มูลค่า 1.6 แสนล้านบาท
             4. โครงการพัฒนาท่าเทียบเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่า 8.8 หมื่นล้านบาท
             5. โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เฟส2 (ปีงบประมาณ 2554 - 2560) มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท

Comment: Note ข่าวไว้ เผื่อมีผลกะหุ้นบางตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น รถไฟฟ้ากะคอนโด, สุวรรณภูมิเฟส 2 กะ AOT เป็นต้น
 

Thursday, January 3, 2013

มหัศจรรย์แห่ง 10,000 ชั่วโมง


Credit: http://www.siamintelligence.com/outliers-strategy/

Outliers ได้เผยให้เห็นว่า นักกีฬาและนักดนตรีที่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าอาศัยพรสวรรค์เป็นใบเบิกทางนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากโอกาสทั้งโดยบังเอิญและจงใจที่เอื้อให้พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษในการฝึกฝนจนครบ 10000 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน

แต่หากเราเกิดในช่วงปลายปีซึ่งทำให้เสียเปรียบในการคัดเลือกตัวนักกีฬา และยังไม่มีโอกาสในการฝึกซ้อมดนตรีร่วมกันวันละ 8 ชั่วโมงในเมือง ฮัมบูรก์เหมือนวงดนตรี The Beatles เราควรจะทำอย่างไรกับชีวิตที่เต็มไปด้วยความเสียเปรียบเช่นนี้ ?

โชคดี ! ที่ฟ้าประทานโลกาภิวัตน์ทำให้คนธรรมดามีทางเลือกในการแข่งขันได้มากมายเช่นนี้ คนที่เสียเปรียบในสนามแข่งขันอันหนึ่ง จึงสามารถเลือก “สนามอื่น” เพื่อฝึกฝนตนเองให้ครบ 10000 ชั่วโมง
กีฬาบางประเภทต้องเล่นเป็นทีม ดังนั้นจึงต้องพึ่งพาการคัดตัวของโรงเรียน เพื่อสร้างโอกาสในการฝึกฝนลับคมฝีมือ แต่ก็ยังมีกีฬาอีกมากมายที่สามารถฝึกฝนโดยใช้ความขยันหมั่นเพียรส่วนบุคคล เพื่อแซงหน้าเข้าสู่ทีมชาติในอนาคตได้

หากไม่มีโอกาสที่เอื้ออำนวยให้ฝึกซ้อมวงดนตรีอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือน The Beatles แต่ยุคสมัยนี้ก็สามารถฝึกฝนเพียงลำพังเพื่อให้ครบ 10000 ชั่วโมง เพื่อเป็นศิลปินเดี่ยวได้ไม่ยากนัก
แน่นอนว่า Bill Gates คือ ผู้โชคดีที่ได้เกิดในช่วงปี 1952-1958 ทำให้เหมาะสมในการบุกเบิกตลาดคอมพิวเตอร์ซึ่งจะเติบโตยิ่งใหญ่ในอนาคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่เกิดในช่วงเวลาที่ไม่อยู่ในเกณฑ์นี้ จะไม่สามารถร่ำรวยมหาศาลได้โดยการสร้างตัวจากอุตสาหกรรมประเภทอื่นที่ตนเองมีความถนัดมากกว่า

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การมองหางานที่รักเพื่อให้สามารถจดจ่อตัวเองในการฝึกฝนฝีมือจนครบ 10000 ชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากตัวเราไม่มีความหลงใหลอย่างเพียงพอ
ตัวเลข 10000 ชั่วโมง ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งว่า มนุษย์มีความจำกัดที่จะเชี่ยวชาญได้เพียงไม่กี่เรื่อง ดังนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจที่จะเติบโตในอาชีพใด ก็ควรที่จะคำนวณทางหนีทีไล่ให้ดีเสียก่อน หากค้นพบว่า ยังขาดคุณสมบัติที่เหมาะสม ก็ควรจะถอนตัวออกมาจากกิจกรรมนั้น เพื่อรักษาเวลา สำหรับฝึกฝน 10000 ชั่วโมงที่ตัวเราสามารถเป็นเจ้าสนามได้อย่างแท้จริง

Wednesday, January 2, 2013

KTC Financial projection

เพื่อให้ง่ายในการตรวจสอบเวลางบ KTC ออก ลง Financial projection ไว้ซะเลย



  • จะเห็นว่า top line ควรจะโตตามที่ ผบห บอกว่า ปลายปี คนใช้จ่ายเยอะขึ้น (ทั้งดอกเบี้ยรับและค่าธรรมเนียมควรมากกว่า 1,450 MB นะ)

  • หนี้สงสัยสูญ และหนี้สูญได้คืน เดายากมาก ให้ conser ไว้ก่อนแล้วนะ (ดูตอนงบออกอีกที)

  • ค่าใช้จ่ายบริหาร Q4'55 ถ้าไม่มีรายการพิเศษอีก ควรไม่เกิน 1,350 MB นะ

  • คิด Net Profit Q4'55 ได้ 281 MB or EPS = 1.09 Baht/Share (ผบห. บอกไว้น้อยกว่านี้มากเลย     O o" ผบห. บอก ทั้งปี'55 NP=150-200 MB แปลว่า Q4'55 จะมีกำไร 88-138 MB)
  
  • รอดูปลายเดือน กพ '56 ล่ะกัน มาอัพเดทตอนงบออกอีกที

Tuesday, January 1, 2013

ผลงาน SET และ กองทุน ปี 2012

SET ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นประมาณ 35%

ลองดู กองทุนต่าง ๆ บ้างว่าทำกำไรได้ขนาดไหน




http://tools.morningstarthailand.com/th/fundquickrank/default.aspx?sortorder=desc&tab=Performance&sortby=ReturnM12

อันดับ 1 เป็นกองทุนเปิดบัวหลวงทศพล ทำกำไรกว่า 77% เมพเกิ้นนนนน

นอกจากจะลงทุนให้ชนะ SET แล้วควรลงทุนให้ชนะกองทุนด้วย ไม่งั้นก็ไม่ต้องเหนื่อยวิแคะหุ้นเองล่ะ

START!!!

เริ่มเขียน Blog

จุดประสงค์ เพื่อบันทึกข้อมูลจากการลงทุน และเก็บไว้ดูเองจากที่ไหนก็ได้